"ดีเอสไอ" ขีดเส้น 3 ธ.ค.นี้ สรุปสำนวน 18 บอสดิไอคอนฯ ส่งอัยการลอตแรก ด้าน โฆษกดีเอสไอ นำทีมเข้าคุกชายเค้นสอบ "11 บอสชายดิไอคอนฯ" พร้อมอัปเดตผลสอบ กฤษอนงค์ ปมคลิปเสียง 10 ล้านอ้างจ่ายดีเอสไอ ขณะที่ "อี้ แทนคุณ" จี้ สคบ.ต้องเป็นหน่วยงานต้นน้ำชี้ให้ชัด "ดิไอคอน" ผิดตรงไหน เพื่อถอนใบอนุญาต ลั่นจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา จนทำให้ดิไอคอนลุกลามบานปลาย

 ที่บริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกองคดีฮั้วประมูล ในและฐานะโฆษกดีเอสไอ พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณี การดำเนินคดีอาญากับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก เปิดเผยกับสื่อมวลชนก่อนเข้าไปสอบสวนปากคำเพิ่มเติมแก่ 11 บอสชายดิไอคอนฯ ว่า ประเด็นที่จะเข้าสอบปากคำผู้ต้องหาในวันนี้คือประเด็นจากมติที่ประชุมเมื่อวันศุกร์ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา เพราะพนักงานสอบสวนได้ร่วมกันประชุมแล้วเห็นว่ามีบางประเด็นที่เรามีข้อสงสัย จึงต้องมาสอบสวนปากคำเพิ่มเติมทั้ง 11 บอสชายเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง

 ส่วนที่ก่อนหน้านี้ทางทนายความของผู้ต้องหาได้ให้สัมภาษณ์ว่า มีการให้ปากคำไปแล้ว 48 ชม. ในชั้นตำรวจยังไม่ครบถ้วนหรือไม่นั้น ตนต้องเรียนว่ามันยังมีประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม สอบสวนในรายละเอียดที่เรารับสำนวนมาแล้ว จึงต้องสอบเพิ่มเติมในทุกข้อกล่าวหา ทั้ง พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ฉ้อโกงประชาชน พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินฯ และ พ.ร.บ.ขายตรงฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากก่อนหน้านี้ 11 บอสชายได้มีการให้การปฏิเสธ จะให้การในชั้นศาล ทั้งนี้ ดีเอสไอไม่ได้ใช้แค่การสอบสวนปากคำผู้ต้องหาเพื่อค้นหาความจริง แต่เป็นเพียงข้อสงสัยบางประการที่เราต้องซักถามเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ส่วนผู้ต้องหาจะให้การหรือไม่ก็ได้ เป็นสิทธิของผู้ต้องหา

 ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวถึงกรณีที่ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายของบอสพอล จะขอขยายระยะเวลาการยื่นเอกสารแก้ข้อกล่าวหาของบรรดา 18 บอสดิไอคอนฯ ออกไปอีก 15 วัน รวมเป็น 30 วันนั้น ว่า วันนี้เรามาพูดคุยกับเขาให้เข้าใจว่าเบื้องต้นเราให้กรอบเวลา 15 วัน และขยายสิ้นสุดที่วันที่ 3 ธ.ค. ให้เขาได้ไปรวบรวมพยานเอกสารที่ต้องการใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน โดยต้องการให้พวกเขาดำเนินการให้เเล้วเสร็จภายในวันที่ 3 ธ.ค. เพราะดีเอสไอจะได้สรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการตามกรอบเวลา และดีเอสไอจะพิจารณาเท่าที่สำนวนมีอยู่ ส่วนถ้าเขาอยากให้การเพิ่มเติมภายหลังจากนั้นก็จะต้องยื่นไปยังพนักงานอัยการแทนพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ย้ำว่า เราขยายให้ได้ถึงเพียงวันที่ 3 ธ.ค. เท่านั้น เพราะเป็นกำหนดระยะเวลาว่าจะพิจารณาพยานหลักฐานให้แล้วเสร็จภายในวันนั้น รวมถึงการมีมติและพิจารณาหลักฐานทั้งฝ่ายผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย และผู้ต้องหาด้วย ทั้งนี้การจะสรุปสำนวนส่งอัยการยังคงมีเพียง 18 รายดังกล่าว ยังไม่มีผู้ต้องหาเพิ่มเติมแต่อย่างใด

 ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับการสอบสวนปากคำ 18 บอสดิไอคอนฯ ภายในเรือนจำฯ ดีเอสไอได้ดำเนินการแล้ว 2 ครั้ง ภาพรวมทั้งหมดส่วนใหญ่ยังไม่ให้การใด ๆ และยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหา ซึ่งอุปสรรคก็เป็นของฝ่ายผู้ต้องหาเอง ไม่ใช่ดีเอสไอ และการเข้าสอบสวนปากคำซ้ำก็เพราะว่ามีประเด็นที่พนักงานสอบสวนสงสัยจึงต้องเข้าไปสอบปากคำเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนต้องการข้อเท็จจริงจากพวกเขา ถ้าเขาให้การมันจะเป็นประโยชน์ต่อเขาเองในการใช้ในชั้นศาลได้ด้วย ทั้งนี้การที่ผู้ต้องหาไม่ให้การกับพนักงานสอบสวนไม่ถือว่ากระทบต่อสำนวนคดี
 
ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องที่ดีเอสไอจะสอบสวนปากคำบอสพอล กรณีเป็นคู่สายสนทนากับ น.ส.กฤษอนงค์ ประเด็นกล่าวอ้างเรื่องการจ่ายเงิน 10 ล้านบาทผ่านคนกลางนั้น ทราบว่าช่วงบ่ายวันนี้จะมีคณะพนักงานสอบสวนอีกชุดหนึ่งเข้ามาสอบปากคำบอสพอล อีกทั้งกรณีที่วานนี้ (19 พ.ย.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้มีคำสั่งให้อธิบดีดีเอสไอ ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้น ตนขอเรียนว่าเบื้องต้นคณะทำงานที่อธิบดีดีเอสไอได้แต่งตั้ง ได้มีการเข้าไปสอบปากคำ น.ส.กฤษอนงค์ ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเธอให้การยืนยันตามโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของเธอ แต่ไม่ขอยืนยันในคลิปเสียง เพราะในโพสต์เธอยอมรับว่ามันมีตัวกลางเข้าไปเกี่ยวข้องจริง และเห็นว่าไม่มีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม อธิบดีดีเอสไอ ได้รับดำริจากรมว.ยุติธรรม ว่าการตรวจสอบ จะตรวจสอบแค่ภายในหน่วยงานไม่ได้ จึงต้องให้บุคคลภายนอกที่เป็นบุคคลที่อยู่ภายในกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนและสื่อมวลชนเชื่อถือเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วยเพื่อความเป็นกลางและสามารถที่จะชี้ได้ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้นมันจริงหรือไม่เพื่อตอบสังคมด้วย
 
วันเดียวกัน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ให้สัมภาษณ์กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าสอบปากคำเพิ่มเติมกับผู้ต้องหา 11 คน (กลุ่มบอสชาย) ในคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ในความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 (แชร์ลูกโซ่) และความผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2547 ว่า การเตรียมให้การในวันนี้ ต้องดูว่าผู้เสียหายมีพฤติการณ์อย่างไรที่กล่าวหา โดย จะมีการเปิดชื่อให้ดูแต่ละคน เปิดระบบให้ดูว่า ผู้เสียหายมีความเสียหายจริงหรือไม่ เพราะบางคนรับสินค้าไปแล้ว และขายไม่ได้เอง อีกจำพวก คือ กลุ่มที่เปิดบิล 2,500 บาท เพื่อซื้อกินซื้อใช้ ดังนั้นจะเข้าข่ายผู้เสียหายได้อย่างไร รวมถึงส่วนกลุ่มที่ 3 คือ ซื้อสินค้า เพราะแม่ทีมชักชวนมา จึงเป็นเรื่องของผู้เสียหาย และแม่ทีมไม่ใช่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน
 
ส่วนจะให้การเพิ่มเติมในประเด็นใดบ้างกับดีเอสไอนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า ตนยังไม่ทราบว่า ดีเอสไอ มีการถามในประเด็นใดบ้าง แต่หากตอบได้ก็ตอบ หากตอบไม่ได้ก็ไม่ตอบ แล้วจะส่งเอกสารคำให้การไปในภายหลัง ซึ่งตลอดคำให้การผ่านมา ตนก็ไม่ทราบว่า แต่ละคนมีพฤติการณ์อย่างไร หรือผู้เสียหายแจ้งความอะไรไปบ้าง แต่คาดว่า วันนี้น่าจะครบทุกประเด็น และเชื่อว่ามีหลายประเด็นที่ดีเอสไอจะต้องมาถาม
 
ส่วนกรณีที่จะส่งคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของผู้ต้องหาที่ดีเอสไอวางกรอบไว้ 15 วัน ภายในวันที่ 3 ธันวาคม นี้ นายวิฑูรย์ เผยว่า ทีมทนายความเป็นผู้จัดทำ แต่คงจะต้องมีการขอขยายเวลาไปก่อน เพราะการต่อสู้คดีทางเอกสารมีเป็นลัง ไม่ได้มีเพียง 1-2 แผ่น แต่ยังมีระบบคอมพิวเตอร์ที่จะต้องเปิดอีก ซึ่งคนที่รู้ข้อเท็จจริงมากที่สุด คือผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย ที่อยู่ในเรือนจำ ทำให้ทนายต้องเข้าออกเรือนจำ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และส่งผลให้การต่อสู้คดีเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยผู้ต้องหาทุกคนได้ขอขยายเวลาออกไป แต่ยังไม่ได้ยื่น เพราะยังไม่ครบตามกำหนดกรอบระยะเวลา โดยสามารถขอขยายได้ครั้งละ 15 วัน แต่ก็คงไม่ได้เกเร ขยายไปไกล เพื่อเปิดโอกาสให้เรามีเวลาได้ชี้แจงอะไรให้มากกว่านี้อีกหน่อย
 
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากดีเอสไอจะสอบปากคำเพิ่มเติมในคดีแชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรงฯ ผู้ต้องหาพร้อมจะชี้แจงหรือไม่ นายวิฑูรย์ กล่าวว่า บางคำถามเราสามารถตอบได้ แต่บางคำถามต้องใช้รายละเอียดทางเอกสาร ซึ่งก็ต้องขออนุญาตส่งเอกสารตามไปภายหลัง
 ส่วนข้อหาฉ้อโกงทีมทนายพยายามส่งรายละเอียดไปค่อนข้างเยอะแล้ว ตั้งแต่คดียังอยู่ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถ้าหากตอบได้ก็จะให้ความร่วมมือในเรื่องนี้
 
ส่วนแนวทางการยื่นประกันตัว ยอมรับว่า มีแนวทางในการยื่นขอประกันตัว แต่โอกาสยกคำร้องสูง และผู้เสียหายในคดี ก็ได้ยื่นศาลขอคัดค้านการประกันตัว ซึ่งจะต้องมีการหารือกับทีมทนายก่อนว่า จะมีการวางแผนยื่นประกันตัวเมื่อไร
 
สำหรับกรณีที่ดีเอสไอ จะเข้าไปสอบปากคำบอสพอล ประเด็นคลิปเสียงที่เป็นคู่สายสนทนากับ น.ส.กฤษอนงค์ มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง นายวิฑูรย์ กล่าวว่า หากเป็นเรื่องคลิปเสียงต้องบอกตามตรงว่า บริบทในวันนั้นพูดกันหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของการแอบอ้าง น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และการจ่ายสินบนให้กับดีเอสไอ ซึ่งบอสพอลยืนยันว่า น.ส.กฤษอนงค์ มีการพูดจริงตามที่ปรากฏในคลิป และยืนยันว่าไม่ใช่คลิปที่มีการตัดต่อ และยอมรับเป็นสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาเอง โดยจบที่เราได้จ่ายเงินให้กับกลุ่มผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้เสียหาย 89 คน
 
ส่วนเมื่อวานนี้ ที่เดินทางไปแจ้งความกรณีคลิปเสียง 20 ล้านบาท นายวิฑูรย์ ระบุว่า ตนได้เข้าไปแจ้งความอย่างเดียวยัง ยังไม่ได้ให้ปากคำ เพราะทางกองบังคับการปราบปรามยังติดคดีที่เป็นคลิปเสียงของ น.ส.จิราพร และเราจะดำเนินการให้ปากคำโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทันระยะกรอบเวลาที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้เปิดเผยกับสื่อไว้ว่า ขอเวลาให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน

 ส่วนกรณีกลุ่มที่อ้างตนว่าเป็นผู้เสียหาย 89 คน นายวิฑูรย์ กล่าวว่า อาจไม่ใช่ผู้เสียหายจริงทั้งหมดทซึ่งหากตรวจสอบได้ก็จะดำเนินคดีแจ้งความเท็จภายในต้นเดือนธันวาคม ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ ซึ่งมั่นใจว่า อาจจะไม่ใช่ผู้เสียหายทั้งหมด
 
ขณะที่ กลุ่มผู้เสียหายที่มากับทีมทนายความอเวนเจอร์สจะมีการตรวจสอบด้วยหรือไม่ นายวิฑูรย์ เผยว่า เรื่องนี้จะต้องไว้ก่อน เพราะเป็นเนื้อหาคดีหากพูดออกไปอาจเป็นการข่มขู่พยาน
 นายวิฑูรย์ ยืนยันอีกว่า สิ่งที่ตนเองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบอสในการยื่นขอประกันตัวไม่ได้มีเจตนาในการละเมิดอำนาจศาล แต่ตามรัฐธรรมนูญมีการบัญญัติในเรื่องของการให้ประกันตัว จึงขอฝากให้ศาลยุติธรรมพิจารณาในเรื่องนี้
 
ด้าน นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ยังไม่ถอนใบอนุญาตดิไอคอน โดยรอถามคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน ว่า สคบ.บอกว่ามีปัญหาหลายเรื่องของการวินิจฉัยเรื่องประเด็นข้อกฎหมายว่าอะไรผิดอะไรไม่ผิด ซึ่ง สคบ.ก็ควรจะเป็นหน่วยงานต้นน้ำในเรื่องของการตรวจสอบว่ากรณีไหนเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ขายตรง และการตลาดแบบตรง รวมทั้งการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง โดยจะต้องชี้ตั้งแต่แรกว่าดิไอคอนเข้าไปขอทำการตลาดแบบตรง ซึ่งมีประเด็นให้ชี้หลายเรื่อง เนื่องจากภายหลังคนที่เป็นบอสบอกว่ารายชื่อคือรายได้ ซึ่งตรงนั้นอาจจะคลุมเครือ แต่ก็หมิ่นเหม่ในหลายประเด็น

 ดังนั้น หาก สคบ.ไม่มีความชัดเจนและไม่ขยันในการตรวจสอบ ก็จะทำให้ลุกลามบานปลายเพราะต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจกฎหมายแบบละเอียด โดยเฉพาะบรรดาศิลปินที่ไปรับงานพรีเซนเตอร์ ยากที่จะเข้าใจ และยิ่งหากผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองจากสคบ. แม้จะเป็นรางวัลบริจาค ก็ควรต้องตรวจสอบให้ละเอียดและต่อไปคงเป็นบทเรียนที่สำคัญของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะรัฐภาครัฐ ว่าจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าบางบริษัทที่อาจจะมีอะไรที่หวือหวา แล้วมาบริจาคเงินเยอะๆ เพื่อหวังรางวัล
 
เช่นกรณีที่บริจาคครั้งละหลายล้าน ผู้บริหารโชว์หรูโชว์รวยก็อาจจะเป็นข้อสังเกต และสคบ. ก็อาจจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยควรเข้าไปตรวจสอบ ไม่ใช่แค่จัดการตามข้อกฎหมายแต่ควรให้คำแนะนำ เพราะส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีใครอยากทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นบอสคนไหนซึ่งพูดตรงๆ ผมก็รู้สึกเห็นใจเพราะวันนี้ต้องอยู่ในเรือนจำ ดังนั้น หากมีกระบวนการต้นน้ำที่ช่วยกันกำกับดูแล ซึ่งไม่ควรเน้นปราบปรามอย่างเดียวแต่ควรป้องกัน และคลี่คลายปัญหา โดยควรเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาในคดีนี้ โดยอาจจะนำสินค้าที่มีอยู่หาช่องทางจำหน่ายให้ถูกต้อง ดีกว่าปล่อยให้ล้มทั้งยืนเช่นนี้ซึ่งถือว่าเป็นอันตราย นายแทนคุณกล่าว
 
ส่วนกรณีที่มีการหยิบยกสคบ. มาอ้างเพื่อหาประโยชน์ และมีการตบทรัพย์ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ มีปัญหาอยู่ 2 เรื่องคือการวิ่งเต้นเส้นสายกับการที่วิ่งเต้นให้สินบน และเอื้อประโยชน์ ซึ่งอาจจะเกี่ยวโยงกับการเมืองด้วยหรือไม่นั้น แต่เรื่องของเงินมากมายมหาศาล การตรวจสอบเส้นทางการเงินคงไม่ยาก แต่ถ้าโยง 2 เรื่องคือเรื่องอำนาจคนและเรื่องเงิน ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมต้องใช้กรณีของดิ