ได้ฤกษ์เปิดคูหาให้ประชาชนชาวอเมริกัน ใช้สิทธิลงคะแนนกาบัตรเลือกตั้งกันแล้ว ในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2024 (พ.ศ. 2567) นี้
โดยในวันดังกล่าว จะเปิดโอกาสให้ชาวอเมริกัน ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งในหลายสังเวียนทางการเมือง พ่วงเข้าไปด้วยกัน จนนับเป็นการเลือกตั้งทั่วไป หรือการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ได้แก่
“การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา” ที่ในครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันระหว่าง “นายโดนัลด์ ทรัมป์” วัย 78 ปี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45ในฐานะผู้สมัครับเลือกตั้งจากพรรครีพับลิกัน กับ “นางกมลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ วัย 60 ปี ผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครต
ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีหนนี้ ก็เป็น “การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 60” แล้ว ตามประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ และจะเป็นการเลือกตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง “ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของประเทศ” ซึ่งในสังเวียนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ข้างต้นนี้ ก็ยังจะพ่วงตำแหน่ง “รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ” คนที่ 50 เข้าไปอีกด้วย โดยทางฝั่งพรรครีพับลิกัน ได้เสนอชื่อ “นายเจดี แวนซ์” มาเป็นรองประธานาธิบดี ส่วนทางฟากพรรคเดโมแครต ก็เสนอชื่อ “นายทิม วอลซ์” มาเป็นรองประธานาธิบดี
กล่าวถึงระบบ รูปแบบ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น หากผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดได้จำนวนคะแนน “คณะผู้เลือกตั้ง” หรือ “อิเล็กทอรัลโหวต (Electorl votes)” จากรัฐต่างๆ ซึ่งประเทศสหรัฐฯ มีจำนวน 50 รัฐ รวมแล้วถึง 270 เสียงก่อน ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด 538 เสียง ก็จะได้เข้าสู่ทำเนียบขาว ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของประเทศ ไปอย่างเต็มภาคภูมิ
-“การเลือกตั้งสมาชิวุฒิสภา” หรือ “สภาซีเนต” หรือ “สว.” โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็จะเป็นการชิงชัยในเก้าอี้ของสมาชิกสภาซีเนต จำนวน 34 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งทั้งสิ้น 100 ที่นั่ง ซึ่งในการชิงชัยส่วนใหญ่ก็จะเป็นการต่อสู้ของระหว่างบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ อีกเช่นเดิม นั่นคือ “พรรคเดโมแครต” และ “พรรครีพับลิกัน” นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบอิสระ คือ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด แต่ก็มีเป็นจำนวนน้อยมาก
ทั้งนี้ สถานการณ์ในวุฒิสภาสหรัฐฯ ณ ปัจจุบัน ปรากฏว่า พลพรรครีพับลิกัน มีจำนวน สว.มากที่สุด คือ 49 ที่นั่ง ส่วนพรรคเดโมแครต มีจำนวน 47 ที่นั่ง ขณะที่ สว.อิสระไม่สังกัดพรรคการเมือง มีจำนวน 4 ที่นั่ง อย่างไรก็ดี บรรดาสมาชิกสภาซีเนตแบบอิสระทั้ง 4 คนนี้ ค่อนข้างที่จะมาเอนเอียงไปทางฝั่งพรรคเดโมแครตมากกว่า จึงส่งผลให้ทั้งพรรคเดโมแครต และสว.อิสระ รวมกันแล้วเป็นเสียงข้างมาก เพราะเกินกึ่งหนึ่ง คือ เกิน 50 ที่นั่ง ในสภาซีเนตของสหรัฐฯ พร้อมกับผลักให้พรรครีพับลิกัน กลายเป็นเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐฯ ไปอย่างเฉียดฉิว และก็เป็นโจทย์ให้ทั้งสองพรรค มาจัดการแก้ไข เพื่อให้ได้รับชัยชนะสำหรับการเลือกตั้งในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน เพื่อที่จะครองเสียงข้างมากในสภาซีเนตแห่งนี้ให้ได้
-“การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” หรือ “สส.” โดยในครั้งนี้ จะเป็นการชิงเก้าอี้ สส. จำนวน 435 ที่นั่ง เต็มจำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งการสู้ศึกเลือกตั้งในสังเวียนนี้แต่ละครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย ก็ยังเป็นการสัประยุทธ์ระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งจากทางพรรคเดโมแครต กับผู้สมัครฯ ของทางพรรครีพับลิกัน อันเป็นสองพรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ อีกเช่นเคย
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ณ ปัจจุบัน ก็ปรากฏว่า พลพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก จากจำนวนที่มีที่นั่ง สส. มากกว่าของทางพรรคเดโมแครต คือ 220 ที่นั่ง ขณะที่ พรรคเดโมแครต มีจำนวน 212 ที่นั่ง โดยจำนวนเสียงของ สส.จำนวน 220 ที่นั่ง ณ ปัจจุบันนี้ ก็มากกว่ากึ่งหนึ่ง 218 ที่นั่ง ของจำนวน สส.ทั้งหมด 435 ที่นั่ง และก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ของทั้งสองพรรคอีกเช่นเคย สำหรับ การสู้ศึกเลือกตั้งสังเวียนเพื่อให้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรกันให้จงได้
“การเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐและเขตการปกครองดินแดนในอารักขา” ซึ่งในการเลือกตั้งวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ก็จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐต่างๆ จำนวน 11 รัฐ ด้วยกัน และอีก 2 เขตการปกครองในดินแดนอารักขา นั่นคือ ซามัว และเปอร์โตริโก
โดย 11 รัฐที่จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐในครั้งนี้ ได้แก่ เดลาแวร์ อินดีแอนา มิสซูรี มอนตานา นิวแฮมป์เชียร์ นอร์ทแคโรไลนา นอร์ทดาโกตา ยูทาห์ เวอร์มอนต์ วอชิงตัน และเวสต์เวอร์จิเนีย
นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งท้องถิ่นอื่นๆ และสำนักงานต่างๆ เช่น นายกเทศมนตรี รวมไปถึงอัยการสูงสุด เป็นต้น จนกล่าวได้เป็นวันเลือกตั้งใหญ่ เลือกตั้งทั่วไป ของสหรัฐอเมริกาอย่างแท้จริง
ทางด้าน ประชาชนชาวอเมริกัน ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งในปี 2024 (พ.ศ. 2567) นี้ ก็จะมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 230 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศกว่า 335 ล้านคน
ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งดังกล่าว ก็จะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และมีที่อยู่ในรัฐนั้นๆ ที่จะมีการเลือกตั้ง นอกเหนือจากการเป็นพลเมืองของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ในการใช้สิทธิฯ ประชาชนก็สามารถใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าก่อนถึงวันเลือกตั้งจริงได้ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องถือว่า ทำสถิติใหม่ เพราะมีผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์มากถึงเกือบ 62 ล้านคนด้วยกัน
โดยประชาชนชาวสหรัฐฯ ซึ่งมีสิทธิออกเสียงเหล่านี้ ก็จะเป็นอีกครั้ง ที่พวกเขาจะได้เลือกตั้งคนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ให้มาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 อันเป็นผู้นำคนใหม่ของพวกเขาต่อไปนับจากนี้ไปจนถึงอีก 4 ปีข้างหน้า
ทางด้านการสำรวจความคิดเห็น หรือโพลล์ของประชาชนชาวอเมริกัน ปรากฏว่า ทั้งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และรองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีความได้เปรียบ เสียเปรียบ ใกล้เคียงกันมาก จนบรรดานักวิเคราะห์แสดงทรศนะว่า เป็นการเลือกตั้งที่คู่คู่สูสีที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แบบยากจะคาดเดาว่าใครจะเป็นฝ่ายกำชัย เพราะพลิกผันได้ตลอดเวลา