ผ่านมา 1 ปีกว่า สำหรับ สงครามในฉนวนกาซา ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างกองกำลังป้องกันอิสราเอล หรือไอดีเอฟ กับกลุ่มฮามาสของชาวปาเลสไตน์ ที่ดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา จนถึง ณ ชั่วโมงนี้ การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ไม่ทีท่าว่าจะหยุดยั้ง
โดยฉากของสงครามในฉนวนกาซา ทางกองกำลังไอดีเอฟ ซึ่งประสิทธิภาพก็คือกองทัพดีๆ นี่เอง ปฏิบัติการโจมตี ที่เริ่มจากทางอากาศ ก่อนตามมาด้วยปฏิบัติการทางการรบภาคพื้นดิน ด้วยการไล่พื้นที่จากทางตอนเหนือของฉนวนกาซา ต่อเนื่องมายังตอนกลาง และตอนใต้ตามลำดับ ก่อนที่จะหวนกลับไปปฏิบัติการในบริเวณพื้นที่ตอนเหนืออีกคำรบ ตราบมาถึง ณ เวลานี้
ผลของสงครามได้สร้างความสูญเสียของผู้คนในพื้นที่สมรภูมิสู้รบ คือ ฉนวนกาซา จำนวนมากกว่า 43,000 คน สูญหายอีกราว 6,000 – 10,000 คน และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 101,000 คน ถูกจับกุมคุมขังอีกกว่า 16,300 คน ตลอดจนอีกกว่า 1,900,000 คน ต้องกลายเป็นผู้ไรู้ที่อยู่อาศัย เพราะบ้านเรือนของพวกเขาถูกอาวุธสงครามโจมตีถล่มจนภินท์พัง
นอกจากนี้ สงครามยังได้สร้างผลกระทบเป็นประการต่างๆ ต่อผู้คนในฉนวนกาซาจนเดือดร้อนกันไปทั่ว โดยหนึ่งในรายการที่ได้รับผลกระทบจากสงครามที่ว่านั้น ก็คือ “ราคาอาหาร” ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์เรา นั่นเอง
ทั้งนี้ นอกจากการสู้รบแล้ว ในทางยุทธวิธี ทางอิสราเอล ก็ยังได้มีการปิดล้อมพื้นที่ฉนวนกาซาอีกด้วยว่า ทำให้การช่วยเหลือด้านอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากภายนอก ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ฉนวนกาซาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเดือนตุลาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไป ปรากฏว่า อิสราเอลได้ปิดล้อมพื้นที่มานานมากกว่า 2 สัปดาห์ ทำให้อาหารไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ฉนวนกาซาได้ ก็ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวฉนวนกาซาหนักเพิ่มขึ้นไปอีก โดยมีรายงานว่า ผู้คนในพื้นที่ทางตอนเหนือของกาซาจำนวนกว่า 400,000 คน กำลังดำรงชีวิตด้วยความอดอยาก ตามการประมาณการของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น
พร้อมกันนี้ ทาง “โครงการอาหารโลก” หรือ “ดับเบิลยูเอฟพี” ซึ่งเป็นหน่วยงานบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือด้านอาหารของสหประชาชาติ ระบุด้วยว่า นอกจากปิดล้อมพื้นที่แล้ว กองทัพอิสราเอลยังได้ปฏิบัติการโจมตีทางการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโจมตีทางอากาศ เข้าใส่พื้นที่เป้าหมายทางตอนเหนือของกาซา ก็ต้องทำให้ปิดจุดที่มีการแจกจ่ายอาหารไปด้วย พร้อมกับต้องอพยพประชาชนและเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ต่างๆ ออกนอกพื้นที่ไป ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ด้านการขาดแคลนอาหารทางตอนเหนือของฉนวนกาซารุนแรงหนักขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ สถานการณ์การขาดแคลนอาหาร ก็ยังส่งผลกระทบไปทั่วฉนวนกาซา แต่ที่ตอนเหนือ ถือว่า หนักที่สุด
เมื่อสถานการณ์อาหารขาดแคลนเยี่ยงนี้ ก็ส่งผลกระทบต่อราคาอาหารในฉนวนกาซา ให้ทะยานพุ่งตามมา ซึ่งแน่นอนว่า พื้นที่ที่ผจญกับราคาอาหารแพงที่หนักที่สุดก็คือ ทางตอนเหนือของกาซา แต่อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ราคาอาหารโดยรวมในฉนวนกาซา ก็ล้วนประสบกับภาวะราคาอาหารแพงกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดสงคราม
ตามการรายงานของ “ดับเบิลยูเอฟพี” ระบุด้วยว่า ทั่วฉนวนกาซา จำนวนผู้คนอย่างน้อย 2,150,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 96 ของจำนวนประชากรทั้งหมด กำลังเผชิญหน้ากับราคาอาหารที่แพงระยับ และในจำนวนข้างต้นนั้น จำนวนร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 กำลังผจญชะตากรรมกับความอดอยาก อันสืบเนื่องจากราคาอาหารที่สูงลิ่วนั่นเอง
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบโดยผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่ง พบว่า ราคาอาหารในฉนวนกาซา ได้แพงขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะพื้นที่กาซาตอนเหนือ ที่เรียกได้ว่า เป็นราคาที่ทะยานพุ่งเลยทีเดียว ในหลายรายการอาหารด้วยกัน แถมยังเป็นอาหารแบบพื้นๆ บ้านๆ ที่แทบจะทุกครัวเรือนรับประทานกันอีกต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็น “แตงกวา” ซึ่งเป็นหนึ่งในผักที่ใช้ประกอบอาหารในหลายเมนูของชาวปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซา ปรากฏว่า ราคาต่อกิโลกรัม ที่จำหน่ายตามท้องตลาดในพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซา ก็ทะยานพุ่งขึ้นไปถึง 150 ดอลลารสหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาที่พุ่งทะยานจากช่วงก่อนเกิดสงครามถึง 150 เท่า เลยทีเดียว คือ จากเดิมราคาก็อยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนพื้นที่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา ราคาแตงกวาก็พุ่งขึ้นมาที่กิโลกรัมละ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยเหมือนกัน เมื่อว่ากันถึงในภาวะสงครามที่เงินทองเป็นของหายาก
“มะเขือเทศ” ราคาก็ทะยานพุ่งขึ้นไปจนน่าสะพรึง ที่กิโลกรัมละ 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในพื้นที่ตอนเหนือของกาซา พุ่งทะยานจากช่วงก่อนสงครามถึง 180 เท่า ที่จากเดิมขายกิโลกรัมละ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนทางตอนใต้ของกาซา ก็ขายกันกิโลกรัมละ 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“มะเขือยาว” หรือ “มะเขือม่วง” ในพื้นที่กาซาตอนเหนือขายกิโลกรัมละ 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนสงคราม 19 เท่า ส่วนทางตอนใต้ของกาซา ขายกิโลกรัมละ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“แป้งที่ใช้ทำเป็นอาหาร” ราคาขายในพื้นที่ตอนเหนือของกาซา พุ่งทะยานขึ้นไปจากช่วงก่อนสงครามถึง 111 เท่า ไปอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อน้ำหนัก 25 กิโลกรัม ส่วนทางตอนใต้ของกาซา ขายอยู่ที่150 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อน้ำหนัก 25 กิโลกรัม โดยราคาเดิมช่วงก่อนสงครามปริมาณเท่าข้างต้นนั้น ขายอยู่ที่ 9 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น
“น้ำตาล” หนึ่งในเครื่องปรุงหลักในอาหารเมนูต่างๆ ทั้งอาหารหวาน และอาหารคาว ปรากฏว่า ราคาขายในพื้นที่ตอนเหนือของกาซา เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนสงคราม 60 เท่า ที่ราคากิโลกรัมละ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่ขายเพียงกิโลกรัมละ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนทางตอนใต้ของกาซา ก็ขายอยู่ที่ราคา 28 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม
“ไข่ไก่” ขายกันเป็นแผง หรือถาด มีจำนวน 10 - 12 ฟองด้วยกัน เดิมช่วงก่อนสงครามขายกันแผงละ 3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หลังจากเกิดสงครามในพื้นที่ตอนเหนือของกาซา ราคาขึ้นไปอยู่ที่แผงละ 73 ดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น 21 เท่า ส่วนทางใต้ของกาซาขายแผงละ 32 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ไม่เว้นแม้แต่ “นมผงสำหรับเด็กทารก” ก็มีราคาแพงขึ้นจากช่วงก่อนสงครามถึง 28 เท่า จากเดิมที่ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อถุงบรรจุที่ไม่ถึง 1 กิโลกรัม ไปอยู่ที่ 85 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปริมาณเท่าเดิม สำหรับการจำหน่ายในพื้นที่ตอนเหนือของกาซา และบางร้านก็ถึงขึ้นตวงขายแบบนับช้อนเลยทีเดียว โดยตวงขายที่ 1 ช้อนโต๊ะต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนพื้นที่ตอนใต้ขายในปริมาณถุงบรรจุที่ไม่ถึง 1 กิโลกรัมที่ถุงละ 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ สร้างความเดือดร้อนแก่ครอบครัวที่มีทารกลูกอ่อนอย่างเหลือคณา