"บิ๊กอ้อ" เผยเตรียมโอนสำนวนคดี"ดิไอคอนกรุ๊ป" ให้"ดีเอสไอ" วันนี้ แจงยอดผู้เสียหายเฉียดหมื่น ระบุยังคงรับแจ้งความร้องทุกข์ที่สอบสวนกลางได้เหมือนเดิม ด้าน"อัจฉริยะ"แจงปมฟังสอบ "โค้ชแล็ป" ในเรือนจำ ทำถูกต้องตามระเบียบราชทัณฑ์
เมื่อวันที่ 27 ต.ค.67 พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าชุดทำคดี บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) จะทำการโอนสำนวนคดีของ ดิไอคอนกรุ๊ป ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ซึ่งการโอนสำนวนในครั้งนี้ เป็นไปตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ
สำหรับผู้เสียหายที่จะเข้ามาแจ้งความในคดีดิไอคอนกรุ๊ป หลังจากมีการโอนสำนวนไปให้ดีเอสไอแล้ว เท่าที่คุยกันไว้ ทางตำรวจจะยังช่วยในเรื่องของการรับแจ้งความให้อยู่ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเป็นสุญญากาศ โดยประชาชนสามารถ เดินทางมาแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง จากนั้นตำรวจจะส่งเรื่องการแจ้งความไปให้ดีเอสไอ อีกต่อหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน ยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 9,212 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,839 ล้านบาทเศษ โดยคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนทุกนายอยู่ระหว่างเร่งรัดสรุปข้อมูลทั้งจากการสอบปากคำผู้เสียหาย ข้อมูลจากฝ่ายสืบสวน และข้อมูลจากวัตถุพยานต่างๆ ตลอดจนรับข้อมูลการสอบปากคำผู้เสียหายจากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ทั่วประเทศ หากมีความคืบหน้าสำคัญเพิ่มเติมจะแถลงให้สื่อมวลชนทราบต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระแสข่าวเรือนจำพิเศษกรุงเทพเตรียมคาดโทษ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กรณีเข้าไปร่วมรับฟังการสอบสวน นายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือโค้ชแล็ป ในคดีดิไอคอน กรุ๊ป ภายในห้องพนักงานสอบสวนเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี หรือได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายความ หรือที่ปรึกษากฎหมายของโค้ชแล็ป ตามที่มีการเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันเดียวกันนี้ นายอัจฉริยะ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า รายงานดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอให้สื่อมวลชนแก้ไขมิเช่นนั้นจะฟ้องดำเนินคดี นายอัจฉริยะ ยังระบุด้วยว่า ตามที่สื่อมวลชนเกือบทุกฉบับได้ก๊อบปี้ข่าวว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เล็งคาดโทษนายอัจฉริยะปมละเมิดพื้นที่เรือนจำ โดยใช้ข้อความอันเป็นเท็จ ว่า ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องสอบสวนโดยวิธีตีเนียน เข้าไปร่วมรับฟังการสอบสวนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และผิดระเบียบกรมราชทันฑ์ และอ้างว่า รักษาราชการผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้ให้ข่าว ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
การเข้าไปในห้องสอบสวนของข้าพเจ้าได้ทำหนังสือถูกต้องและได้รับอนุญาตจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้ว หาใช่เป็นการตีเนียนตามที่สื่อมวลชนลงข่าวแต่อย่างใด การลงข่าวเท็จหรือเฟกนิวส์ทำให้ข้าพเจ้า นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากพี่น้องประชาชนที่ได้อ่านข่าวนี้จากสื่อมวลชนที่ลงข่าวนี้ ข้าพเจ้า นายอัจฉริยะ ขอยืนยันว่าหากข้าพเจ้าทำผิดกฎหมาย ขอให้กรมราชทันฑ์ดำเนินคดีตามกฎหมายกับข้าพเจ้าได้เลย
การลงข่าวของสื่อมวลชนในครั้งนี้ เป็นข้อมูลเท็จหรือเฟกนิวส์ ขอให้สื่อมวลชนทุกฉบับที่นำเสนอข่าวนี้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามจริง เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ถูกเรือนจำพิเศษกรุงเทพดำเนินการตามกฎหมายหรือตามระเบียบของกรมราชทันฑ์ว่า ถูกตั้งกรรมการสอบหรือมีการคาดโทษข้าพเจ้า ดังนั้น หากสื่อทุกฉบับที่ลงข่าวนี้ไม่แก้ไขให้ถูกต้องตรงกับความจริงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ข้าพเจ้าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบังคับใช้กฎหมายกับสื่อมวลชนตามกฎหมายต่อไป
วันเดียวกัน นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ ตัวแทนผู้รวบรวมผู้เสียหายของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ในต่างประเทศ นำคุณนินผู้เสียหายชาวไทยจากฮ่องกงมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับดิไอคอนกรุ๊ปกับพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. โดยคุณนิน เปิดเผยว่า เห็นโฆษณาผ่านโซเชียลจึงได้ทักและได้รับการชักชวนผ่านแม่ข่ายที่ชื่ออักษรย่อ จ.จาน ให้ร่วมลงทุน นอกจากนี้ตนยังเห็นป้ายโฆษณาในประเทศไทยหลายป้ายตามทางด่วนเป็นโฆษณาของดิไอคอน เธอเห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ มีแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและตัวเธอเองนั้นก็มีอาชีพเปิดร้านขายของชำรับสินค้าจากประเทศไทยไปขายที่เกาลูน ฮ่องกงอยู่แล้ว เธอเลยตัดสินใจเปิดบิลสินค้าคอลลาเจนกับดิไอคอน เมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว จำนวน 2 บิล มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท อีกทั้งยังชักชวนเพื่อนชาวไทยอีก 3 คน ในฮ่องกงมาร่วมลงบิลด้วย รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท
ปรากฏว่า ต้องเป็นคนลงทุนเบิกสินค้าข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศไทยไปฮ่องกง แต่ไม่สามารถขายสินค้าดังกล่าวได้เลย เพราะเนื่องจากมีราคาที่สูงและไม่เป็นที่นิยมของคนฮ่องกง ขายได้แต่เพียงแค่คนไทยด้วยกันเองเท่านั้นและเมื่อบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปเกิดปัญหา ทำให้ไม่สามารถเบิกสินค้าจากคลังของบริษัทได้ อีกทั้งคดีความที่เกิดขึ้น จึงส่งผลสินค้าของบริษัทขาดความน่าเชื่อถือแล้ว ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายและไม่สามารถคืนทุนได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เพราะถือเป็นการฉ้อโกง ทำให้ตัวเองและเพื่อนคนอื่นที่มาเปิดบิลกับดิไอคอนได้รับความเสียหายรวมกว่า 2 ล้านบาท
ด้าน นายอิทธิเดช กล่าวว่า ขณะนี้ได้รวบรวมผู้เสียหายจากต่างประเทศได้มากกว่า 20 ราย ทั้งจากประเทศจีน เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมนี เอสโตเนีย สวีเดน ลักเซมเบิร์ก แคนาดา สหรัฐอเมริกา มาเก๊าและฮ่องกง
โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติและพำนักอยู่ที่นั่น รวมทั้งยังได้ชักชวนญาติชาวต่างชาติให้มาร่วมเปิดบิลลงทุนกับ The Icon รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ นอกจากตนได้พาผู้เสียหายจากฮ่องกงมาแจ้งความแล้ว ตนยังได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายชาวอังกฤษและคนไทยที่อยู่ในลักเซมเบิร์ก เอสโตเนีย กับอิตาลี ให้เข้าแจ้งความแทนด้วย