KAsset และ J.P. Morgan Asset Management ผนึกกำลังจัดสัมมนา Know The Markets Summit 2024: Shaping the Future แนะพอร์ตลงทุนตอบโจทย์เทรนด์โลก
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) และพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก J.P. Morgan Asset Management ร่วมจัดงานสัมมนาใหญ่แห่งปี “Know The Markets Summit 2024 : Shaping the Future” ชวนผู้ฟังเปิดมุมมองการลงทุนแห่งอนาคตที่น่าสนใจ พร้อมแนะนำการจัดพอร์ตให้อยู่รอดทุกสภาวะตลาด
โดยได้รับเกียรติจากนายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร, KAsset และ Mr.Tai Hui Chief Market Strategist, Asia Pacific, J.P. Morgan Asset Management พร้อมด้วยผู้บริหารจากทั้ง 2 แห่ง มาร่วมเป็นวิทยากรถ่ายทอดมุมมองเชิงลึกจากทุกตลาดทั่วโลกแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก
นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงดำเนินงานตามแผนภายใต้แนวคิด Top of Mind Investment House โดยยึดหลัก 1 Goal 3 Focus 5 Priorities อย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) มุ่งสร้างผลตอบแทน จากการบริหารจัดการกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ 2) มุ่งสร้างประสิทธิภาพของพอร์ต จากการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolio 3) มุ่งสร้างความน่าเชื่อถือ จากการให้คำแนะนำการลงทุนที่ทันต่อเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา 4) มุ่งสร้างเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า จากการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม และ 5) มุ่งสร้างความเชี่ยวชาญ จากการให้มุมมองการลงทุนเชิงลึกภายใต้ชื่อ Know The Markets โดยรากฐานทั้งหมดจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ทั่วโลก การวางโครงสร้างการลงทุนอย่างยั่งยืน และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและคู่ค้า เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย AUM 1.80 ล้านล้านบาทในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567
สำหรับทิศทางการพัฒนาเพื่อการแข่งขัน บลจ.กสิกรไทย เตรียมพัฒนาโซลูชันการลงทุนกับ 2 พันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำระดับโลกทั้ง J.P. Morgan Asset Management ในฐานะ Strategic Partnership ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก กับอีก 1 พันธมิตรที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน Lombard Odier ที่มุ่งเน้นการกำหนดยุทธศาสตร์ในการวางโครงสร้างการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเติมเต็มศักยภาพการบริหารจัดการกองทุน และยกระดับมาตรฐานการทำงานในทุกมิติ
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่สมดุลมากขึ้น การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มดีขึ้นในปีหน้า ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยลง 0.5% เปิดโอกาสให้ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ปรับลดดอกเบี้ยตามไปด้วย สำหรับตลาดหุ้นจีน การลดดอกเบี้ย และมาตรการภาคอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่ประกาศออกมา ทำให้ตลาดหุ้นจีนฟื้นได้ในระยะสั้น และคาดว่าจะมีมาตรการด้านการคลังออกมาเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป ด้านเศรษฐกิจอินเดียมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคในประเทศ บริษัทในอินเดียมีความสามารถในการทำกำไรสูง ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม ยังคงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของสินเชื่อธุรกิจและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น หนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการส่งออก ด้านตลาดทองคำ ในช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ทั้งจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเข้าใกล้การเลือกตั้ง และวัฏจักรที่ Fed ลดดอกเบี้ย บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำให้เข้าสะสมทองคำหากมีจังหวะย่อเท่านั้น
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกจากการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต ประกอบกับเม็ดเงินใหม่ ที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นจากการตั้งกองทุนวายุภักษ์ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวได้จากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีซึ่งเป็น High Season มองเป้าหมายดัชนีปลายปี 2024 ที่ระดับ 1,450-1,500 จุด และปี 2025 ที่ระดับ 1,600 จุด คุณวินกล่าว
คุณวินกล่าวต่อว่า บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงตามหลักการ Core & Satellite Portfolio ผ่านกองทุนแนะนำจากกสิกรไทย สำหรับ Core & Satellite Portfolio ประจำไตรมาสที่ 4/2567 จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 80% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE ส่วนที่ 2: Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-FIXEDPLUS, K-GSELECT, K-INDIA, K-VIETNAM, K-STAR และ K-PROPI
สำหรับระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนของกองทุนใน Core Portfolio บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ส่วนกองทุนใน Satellite Portfolio แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะสั้นอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อรอประเมินสถานการณ์ตลาดในระยะถัดไป