“ดีเอสไอ” รับคดีฟอกเงิน “ดิไอคอน” เป็นคดีพิเศษ เหตุความผิดมีมูลค่าเกิน 300 ล้าน “ญาติ”บุกเรือนจำกรุงเทพฯ แห่เยี่ยม 11บอสดิไอคอนถูกขัง “แม่บอสพอล” ไม่ได้เจอหน้าลูกชาย หลังไม่ได้ส่งชื่อ ด้าน“ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” หอบหลักฐานผู้เสียหายกลุ่มแรกบุกสอบสวนกลางยื่นข้อมูลเพิ่ม แนะผู้เสียหายเชื่อมั่น หลังกระแสข่าว “แก๊งบอส” อาจไม่ถูกดำเนินคดี ชี้นักร้องทุกคน มีเจตนาดี วอนตำรวจสอบสวนละเอียด
เมื่อวันที่ 24 ต.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บริเวณหน้าหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่คุมขังผู้ต้องหาชายในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 11 ราย ประกอบด้วย นายวรัตน์ วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล นายกลด เศรษฐนันท์ หรือบอสปีเตอร์ นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือบอสหมอเอก นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา หรือบอสโอม นายธวินทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ หรือบอสวิน นายเชษฐณกัฏ อภิพัฒนกานต์ หรือบอสทอมมี่ นายพัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ หรือบอสป๊อป นายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือโค้ชแล็ป นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ หรือบอสอ๊อฟ นายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ และนายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือบอสแซม ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้อยู่ในขบวนการกักโรคโควิด-19 ระยะเวลา 6 วัน และสิ้นสุดการกักโรคในวันนี้และทางเรือนจำได้เปิดให้ญาติสามารถเดินทางเข้าเยี่ยมได้
ต่อมา เวลา 10.30 น. มีรายงานว่า นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่าเมื่อช่วงเช้าที่ตนได้เดินทางมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตนได้นำเอกสารที่จะแจ้งความกรณีที่มีพนักงานของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ ถูกตำรวจเชิญมาให้ปากคำและยึดโทรศัพท์มือถือ รวมถึงกรณีนักร้องเรียนหญิงที่มีพฤติกรรมเรียกรับเงินมาให้นายวรัตน์พล เซ็นชื่อ (แต่ทนายไม่ได้บอกว่าเมื่อบอสพอลเซ็นแล้วจะเอาเอกสารไปใช้วัตถุประสงค์ใด) และตนได้ออกจากเรือนจำฯ มาแล้ว ขณะนี้ตนอยู่ที่ศาลอาญารัชดาฯ เพื่อติดตามคดีอื่น ทั้งนี้ ในกรณีของการจะเดินทางไปแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเที่ยงหรือไม่นั้น อาจจะไม่ทัน อาจจะไปช่วงเย็นแทน
กระทั่ง เวลา 10.50 น. ปรากฏมีผู้หญิงสูงวัย 1 ราย ผมสั้น สวมเสื้อสีเขียวลายดอกไม้และกางเกงสีดำ ถือกระเป๋าสาน ได้เดินออกมาบริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกับผู้หญิงสูงวัย สวมเสื้อสีส้ม ซึ่งผู้สื่อข่าวจดจำใบหน้าละม้ายคล้ายมารดาของบอสพอล จึงรีบรุดเข้าไปสวัสดีสอบถามว่า ใช่คุณแม่บอสพอลหรือไม่ ปรากฏว่ามีการยกมือปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ และบอกว่าตนเองไม่ใช่แม่บอสพอล ก่อนรีบเดินขึ้นรถยนต์ส่วนบุคคล
ทั้งนี้ มีรายงานว่า แม่บอสพอลไม่ได้เข้าไปเยี่ยมบุตรชาย แต่รออยู่ด้านนอกแทน เนื่องจากไม่ได้ส่งรายชื่อเข้าไปก่อน และภายหลังการเข้าเยี่ยม ครอบครัวมีการยืนพูดคุยกัน บางคนที่เข้าถึงกับน้ำตาคลอออกมา ขณะที่เเม่บอสพอลก็ยืนพูดคุยกันกับท่านอื่น ๆ เกี่ยวกับคดีของบุตรชาย
ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง เดินทางเข้ายื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมของผู้เสียหายกรณีดิไอคอน กรุ๊ป โดย น.ส.ชลิดา เปิดเผยว่า วันนี้ได้รับการประสานจากตำรวจ บก.ปคบ. ให้นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเช่น สลิปการโอนเงิน ข้อความแชต ของผู้เสียหายประมาณ 10 คน ที่เป็นผู้เสียหายกลุ่มแรกที่เข้าแจ้งความในคดีนี้เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ในส่วนของผู้เสียหายที่ร้องผ่านตนตอนนี้มีกว่า 2,000 รายแล้ว โดยมีผู้เสียหายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งขณะนี้ตนกำลังรวบรวมผู้เสียหายชาวกัมพูชาเพื่อเข้าแจ้งความเพิ่มเติม
น.ส.ชลิดา เปิดเผยอีกว่า โดยผู้เสียหายในกลุ่มของตนมีความกังวลว่าผู้ต้องหาอาจไม่ถูกดำเนินคดี เนื่องจากที่ผ่านมามีกระแสข่าวในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องคลิปเสียงและกรณีเทวดาที่ยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้กลุ่มผู้เสียหายรู้สึกกังวลกลัวจะไม่ได้รับเงินคืน แต่ตนได้แจ้งกับผู้เสียหายว่าต้องเข้าใจการทำงานของตำรวจที่มีระบบขั้นตอน และจะต้องละเอียดรอบคอบรัดกุม อยากให้ผู้เสียหายทุกคนเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอยากให้ระยะเวลากับตำรวจในการทำงาน สำหรับเรื่องนักร้องที่เป็นกระแสขณะนี้ ตนมั่นใจว่าตนไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่ตกทรัพย์ใคร ยืนยันว่าไม่เคยเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย
ต้นอ้อ ยังเปิดเผยว่า นอกจากนี้ในส่วนของพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ที่มีการเตือนนักร้องให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนมาร้องนั้น ตนมองว่าคดีดิไอคอน เป็นคดีที่ใหญ่ แสงมันเยอะ จึงทำให้มีคนพุ่งชน ซึ่งหลายคนตนเข้าใจว่าหวังดีและอยากช่วยเหลือประชาชนจริง แต่ในมุมของตนเวลามีผู้เสียหายทักเข้ามาตนจะต้องขอหลักฐานที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้ผลกระทบตามมาภายหลัง แต่บางคนอาจจะไม่ทราบ เช่นกรณี นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด อาจจะอยากช่วยผู้เสียหาย แต่คนที่มาแจ้งอาจจะให้ข้อมูลซับซ้อน หรืออาจจะไม่รู้ขั้นตอนทุกอย่าง ต้องคิดว่าเอามาแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่ แต่เชื่อว่านายเอกภพไม่ได้จะมีเจตนาทำให้รูปคดีเสียหาย ทั้งนี้ตนอยากให้ทางตำรวจค่อยๆสอบสวน เพราะนายเอกภพ อาจจะไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพียงแค่มีจุดประสงค์ต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเท่านั้น
จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินการสืบสวนคดี ดิไอคอน กรุ๊ป เลขสืบสวนคดีพิเศษที่ 178/2567 ต่อมา พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเจ้าหน้าที่กองคดีการฟอกเงินทางอาญา และศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว นำหมายค้นเข้าตรวจค้นอาคารซุกซ่อนทรัพย์สินของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ก่อตั้งบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ภายในห้องเช่าเแห่งหนึ่ง กทม.
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอแจ้งหมายผ่านกลุ่มไลน์ เชิญสื่อมวลชนระบุว่า “วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2567) เวลา 14.00 น. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงข่าวการรับคดีฟอกเงิน กรณีดิไอคอน เป็นคดีพิเศษ ณ ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ) ถนนแจ้งวัฒนะ”
รายงานข่าวแจ้งว่า ดีเอสไอจะรับคดีฟอกเงินกรณีดิไอคอน เป็นคดีพิเศษ ตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 เรื่องกำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
ทั้งนี้คดีดังกล่าวนั้น เป็นไปตามบัญชีท้ายประกาศ กคพ. ในข้อที่ 7 คือ คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน คดีความผิดที่มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 60 และมาตรา61 แห่งพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีความผิดมูลฐานเป็นคดีพิเศษซึ่งอยู่ในอำนาจ ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือคดีความผิดมูลฐานที่เป็นคดีอาญาอื่นที่มีมูลน่าเชื่อว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ การกระทำความผิดที่มีมูลค่าตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป เป็นอำนาจของอธิบดีดีเอสไอสามารถดำเนินการได้ทันที
ที่รัฐสภา นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ดีเอสไอบุกค้นห้องพักบอสพอล พบนาฬิกาหรูว่า เป็นการจัดฉากแบบ 100 % แต่สิ่งที่ตนสงสัยมากกว่าว่าทำไมเขาเลือกที่จะแจ้งดีเอสไอ เพราะต้องการให้ดีเอสไอเป็นคนทำคดีหรือไม่ พอแบบนี้เราคิดว่ามันเกิดความเคลือบแคลงสงสัย และคนที่เผยแพร่ภาพออกมาน่าจะเป็นดีเอสไอด้วย และได้ตรวจเช็กหรือไม่ว่านาฬิกาเป็นของปลอม มันจะมีปัญหาตอนการประมูลของกลางอีก เพราะเคยมีประเด็นนี้เกิดขึ้นและมีปัญหา การเคลือบแคลงสงสัยทั้งหมด ตนได้คุยกับนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคดูเรื่องนี้อยู่ โดยวันพฤหัสบดีที่ 31 ต.ค. จะเรียกดีเอสไอมาชี้แจง เรื่องที่เข้าไปค้นในห้องเช่าดังกล่าว เพราะมันทำให้เกิดความไม่สบายใจ และตนได้ประสานทีมงานนายกรัฐมนตรี เพราะมันมีความไม่สบายใจของภาคประชาชน เนื่องจากหน่วยงานแย่งกันทำคดีหรือไม่ ทั้งที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีนี้ค่อนข้างละเอียด และจำนวนผู้เสียหาย 7,000 กว่าคน มันค่อนข้างสูง แล้วดีเอสไอจะทำไหวหรือ กลัวว่ารับไปทำแล้วจะช้ากว่าเดิม ล่าสุด ตนได้ประสานไปทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เขาก็ทำงานคืบหน้าค่อนข้างเร็ว ประชาชนเห็นความชัดเจนมากขึ้น ผู้ต้องหา บอสพอล ทำได้ขนาดนี้ เขาคิดอะไรมา แล้วเขาจะโยกเพื่ออะไร
เมื่อถามว่า จุดประสงค์ของบอสพอลต้องการให้ดีเอสไอทำคดีใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า ตนไม่รู้ แต่ตนสงสัย ว่าทำไมเขาต้องจัดฉากแบบนี้ และต้องแจ้งไปทางนั้น เพื่อจะดึงคดีไปทางนั้นหรือไม่ แล้วถ้าย้อนกลับไปคลิปที่ออกมามันมีบางส่วนที่บอกว่ามีคนอยู่ในนั้น เราก็ต้องถามกลับว่าสรุปมีหรือไม่มี ต้องเกาะติดเรื่องนี้ เพราะตนกลัวหลุด เมื่อถามว่า ดีเอสไอมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับบอสพอลด้วยใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า เดี๋ยวเราจะใช้ กมธ. คุ้มครองผู้บริโภคทำให้เรื่องนี้กระจ่าง และตนขอให้การบ้านดีเอสไอไปเลยว่าต้องมาตอบในเรื่องนี้
เมื่อถามว่า การจัดฉากแบบนี้ บอสพอลไม่ใช่คนธรรมดาใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวทันทีว่า "มันเป็นการจัดฉากอยู่แล้ว ไปเช่าบ้านหลังหนึ่ง แล้วคุณเอารถพอร์ชไปเช่า ให้บอสพอลมาเอง โอ้โฮ มันการ์ตูนนะ แล้วคนที่คิดขนาดนี้ได้มันยิ่งหนักกว่าเดิม จะฟ้องผมบอกว่าผมบอกว่าจัดฉากก็ได้ แต่ผมว่าจัดฉาก ไปฟ้องเลย และเรื่องพระทองคำ ให้ไปตรวจเช็กให้ดี วันนี้ต้องติดตาม เป็นเราเราเอ๊ะไหมล่ะ คุณไปแจ้งความกับตำรวจว่ายึดโทรศัพท์ แสดงว่าคุณต้องมีปัญหาแล้ว คุณต้องการจะเบี่ยงประเด็นหรือไม่"
เมื่อถามว่า คีย์แมนคนสำคัญที่เดินเกมอยู่ข้างนอก ต้องเป็นระดับไหน นายไผ่ กล่าวว่า ตนไม่รู้แต่จะไปพูดไม่ได้ว่าเขาวางแผนไว้ก่อน แต่อย่าลืมว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเข้าไป เมื่อถามว่า เขาต้องรู้มาก่อนใช่หรือไม่ว่าจะถูกจับ นายไผ่ กล่าวว่า เขาต้องรู้สิ เพราะไปเปิดห้อง 3,000-6,000 แล้วเอาของไปวาง ถ้าเป็นของจริงมูลค่ามันหลาย 10 ล้าน เมื่อถามว่า ประสานนายกรัฐมนตรีไปแล้ว นายกรัฐมนตรีว่าอย่างไรบ้าง นายไผ่ กล่าวว่า เป็นการประสานทีมงานเพื่อให้ดูเรื่องนี้หน่อย เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนี้เข้าหาผู้ต้องหา เมื่อถามอีกว่า จัดฉากแบบนี้สุดท้ายจะรอดใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า คนสู้คดีถ้าเขาไม่คิดว่าเขาจะรอด เขาจะสู้ทำไม และจะพูดว่าเขาไม่รอด 100% เป็นไปไม่ได้
"ผมบอกแล้วว่าแผนการเขาเยอะ และเมื่อดูในคลิปแต่ละคลิปที่ออกมา ผมต้องถามว่าคนธรรมดาที่ไหนใส่หูฟังอัด 7 ชั่วโมง วันนี้นักการเมืองที่สภาเขาบอกว่า ถ้าจะคุยกันคงต้องคุยกันในสระว่ายน้ำ ไปแช่น้ำคุยกัน ดังนั้นผมมองว่ามันเตรียมการมา วันนี้พี่หนุ่ม กรรชัย ก็น่าพูดไปเยอะแล้ว" นายไผ่ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีคลิปเสียงของนักการเมือง “ส” เจ้าของเสียงจะไปแจ้งความเอาผิดคนดักฟังวันนี้ นายไผ่ กล่าวว่า รอดูอยู่ เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 แท่ง แท่งแรกเป็นเรื่องผู้เสียหาย และแท่ง 2 คือเรื่องการรับส่วย ตนยืนยันว่าจะตามทั้งคู่ เพราะเกี่ยวพันกัน เมื่อถามว่า เรื่องส่วยมีความคืบหน้าหรือไม่ เพราะเริ่มมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง นายไผ่ กล่าวว่า ตนได้พูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่าเอาให้ถึงนั้น แต่ถ้าไม่ถึงก็ต้องบอก เพราะจะไปให้ความผิดเขาไม่ได้ เพราะดูจากสื่อ คนที่ออกมาเปิดเรื่องราวตอนนี้ก็หิวแสงเยอะ เวลาพูดก็เวอร์ และจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมกับนักการเมือง ไม่เช่นนั้นสถาบันการเมืองจะเสียหาย เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐนัดคุยเรื่องนักการเมือง ส. วันที่ 29 ต.ค. ช้าเกินไปหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า ตนไม่ขอพูดถึง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก “กฤษอนงค์ต้านโกง/กฤษอนงค์online/ศคอ.ศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์” หรือ กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เป็นประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์” ได้ออกมาโพสต์ข้อความตัดพ้อว่า “จบงานช่วย 89 เคส ไม่เคยติดต่