สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ปลัดเก่ง ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทอดกฐินสามัคคีวัดบางหลวงหัวป่าปทุมธานี ยอดรวม 8,350,506 บาท
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 20ต.ค. 67ที่วัดบางหลวงหัวป่า สาขาวัดระฆังโฆสิตาราม ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระราชวัชราวิทยาคม(พระอาจารย์ต้อม) วัดท่าสะแบง จังหวัดร้อยเอ็ด ประธานอุปถัมภ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสพีซีจี เป็นประธานฝ่ายฆราวาสและประธานอุปถัมภ์ ในพิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2567 โดยมีพระเทพประสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร และพระราชสิริวัชรรังษี (ชำนาญ อุตฺตมปญฺโญ)รองเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดชินวราราม พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต (พระครูต้น) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบางหลวงหัวป่า นายคมสัน ญาณวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายศุภชัย นพขำ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี นายเสนีย์ มูลขำ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีประชาชน คณะผู้มีจิตศรัทธา ประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี โดยได้เงินทั้งสิ้นจำนวน 8,350,506 บาท
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า กฐินเป็นคำศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ชาวพุทธเรารู้กันทั่วไปว่าการทอดกฐินเป็นบุญพิเศษ เพราะจำกัดด้วยเวลาและการถวายให้กับพระภิกษุผู้จำพรรษาในวัดที่ทอดกฐินเท่านั่น
“วัดบางหลวงหัวป่า เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วเป็นที่ดินวัดร้าง หลังจากบริษัทเอกชนหมดสัญญาเช่น พระครูต้นหรือพระครูสุภัทรธรรมโฆษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางหลวงหัวป่า สาขาวัดระฆังโฆสิตาราม ได้มาปรารภว่า อยากสร้างวัดตรงนี้ จึงบอกกับผู้อำนวยการสำนักงานพุทธจังหวัดปทุมธานีตอนนั้นว่า ขอไม่ต่อสัญญา เพราะจะฟื้นฟูสร้างวัดให้เป็นสถานที่พระภิกษุจำพรรษา พระครูต้น มีความตั้งใจมากที่จะทำตรงนี้ เวลาถามทีไร มักบอกว่าอยู่วัดบางหลวงหัวป่าอยู่เสมอ ๆ การสร้างวัดก็เสมือนเป็นการสร้างสถานที่ฝึกอบรมคนให้เป็นคนดี เราต้องช่วยกันการสร้างคนดีให้มีมากขึ้นในสังคม คนดีมาก คนไม่ดีก็น้อยลง คนไม่ทีดีน้อย สังคมก็เป็นสุข เวลาสอนคนทุกครั้ง อาตมาไม่เคยสอนให้คนไปสวรรค์นิพพาน แต่สอนให้เป็นคนดีของสังคม เป็นบุคคลที่พึงประสงฆ์ของประเทศชาติ จึงฝากวัดบางหลวงหัวป่าไว้ให้ทุกคนร่วมกันดูแล เนื่องจากวัดมิได้เป็นของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นของทุกคน เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา”
พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางหลวงหัวป่า สาขาวัดระฆังโฆสิตาราม กล่าวว่า สำหรับวัดบางหลวงหัวป่าในพรรษานี้ มีพระภิกษุจำพรรษาจำนวน 5 รูป อาตมาตั้งใจสร้างวัดตรงนี้ให้เป็นของทุกคน เดิมตอนสร้างก็หนักใจมาก เพราะมันเป็นทุ่งนา ที่ดินต่ำ ต้องใช้งบประมาณเยอะในการถมที่ โชคดีได้ ส.ส.เต๋า หรือศุภชัย นพขำ ชวนญาติพี่น้องมาถมที่ให้หมดไปประมาณ 50 ล้านบาท
“เดิมบางหลวงหัวป่าแห่งนี้ เป็นวัดร้างตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาตมภาพจึงได้ร่วมกับนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนที่ 41 ตั้งแต่เมื่อครั้งท่านดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ เป็นผู้ขอบูรณปฏิสังขรณ์ และขอยกวัดร้างแห่งนี้ให้เป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษาต่อไป เป็นวัดสาขาของวัดระฆังโฆสิตาราม มีเนื้อที่ 23 ไร่ 64 ตารางวา โดยในช่วงที่ผ่านมา วัดได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ ประกอบด้วย ต้นไม้ประจำจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ต้นไม้ทุกต้นจะมีคิวอาร์โค๊ดอยู่ เพื่อให้รู้ว่าชื่ออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจของ คุณสุทธิพงษ์ จุลเจริญ และ ดร.วันดี ที่ประสงค์จะให้สถานที่แห่งนี้ เป็นรมณียสถาน สถานที่แห่งความร่มเย็น และเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเป็นสถานที่แห่งการร่วมทำในสิ่งที่ทุกคนในโลกใบนี้ต้องช่วยกัน นั่นคือ การลดภาวะโลกร้อนตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ การก่อสร้างตอนนี้ทำหลายอย่าง อุโบสถกำลังก่อสร้างได้เงินบริจาคจาก คุณสุทธิพงษ์ จุลเจริญ และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ตั้งต้น 17 ล้านบาท เจ้าของช่อง 7 ถวายมาอีก 7 ล้านบาท คุณละออ ตั้งคารวคุณ ช่วยสร้างกุฎิให้ 1 หลัง ยังมีเจ้าภาพสร้างหอระฆัง หอกลองให้ด้วย ที่เล่ามาทั้งหมด อาตมาไม่ได้หมายความว่าเอยชื่อแต่คนถวายเงิน พูดเพื่อให้ทุกท่านร่วมกันอนุโมทนา เนื่องจากความตั้งใจขออาตมาสร้างวัดต้องให้เป็นของทุกคน มิได้ต้องการให้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง…”
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ หากเสร็จสมบูรณ์จะเป็นพุทธสถานสาธารณสงเคราะห์ ให้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้ป่วยยากไร้ และชาวบ้านในพื้นที่ ให้ได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายด้านการสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคมอีกด้วย