วันที่ 20 ต.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่มีนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย เป็นประธานกมธ. ได้พิจารณาเนื้อหาแล้วเสร็จ และเตรียมส่งให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เพื่อบรรจุในวาระการประชุมสภาฯ ภายในสัปดาห์นี้ และเบื้องต้นได้ประสานไปยังคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แล้วว่าจะให้สภาฯ ได้พิจารณาภายในสมัยประชุมนี้ ในวันที่ 30 ต.ค. แต่ขึ้นอยู่กับวิปรัฐบาลจะมีวาระด่วนเรื่องอื่นพิจารณาก่อนหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการพิจารณาเนื้อหาในร่างพ.ร.บ. ทั้ง 15 มาตรา มีส่วนที่เป็นสาระสำคัญซึ่งกมธ. แก้ไข 12 มาตรา และมี 1 มาตรา สำหรับมาตราที่มีการพิจารณาทบทวนหลังจากที่ก่อนหน้านี้กมธ.มีมติตัดออกไป คือ ร่างมาตรา 12 ว่าด้วยบทกำหนดโทษให้กับ กมธ.ที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือ ทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง ผู้ใด ให้ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ล่าสุดนั้นกมธ.ได้นำกลับมาบัญญัติไว้ในรายงานแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับมาตราที่กมธ.เพิ่มขึ้นใหม่ นั้นว่าด้วยบทกำหนดแนวทางใช้มาตรการบังคับทางอ้อมกับภาคเอกชน โดยกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการของภาคเอกชน เร่งรัดการส่งเอกสารหรือแถลงข้อเท็จจิงหรือแสดงความเห็นต่อกมธ. โดยกำหนดกรอบเวลาให้ดำเนินการภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้ับหนังสือแจ้งจากประธานกมธ.
ซึ่งมีบทบัญญัติที่กมธ.กำหนดขึ้นดังนี้ ในกรณีที่บุคคลซึ่งไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ รัฐมนตรี หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียกของกมธ. ให้ประธานกมธ.โดยความเห็นชอบของกมธ. มีหนังสือแจ้งไปยังหน่วยางานของรัฐที่กฎหมายกำหนดให้มีอำนาจในการควบคุม กำกับการประกอบอาชีพ หรือประกอบกิจการของบุคคลนั้น ดำเนินการเร่งรัดให้บุคคลนั้นส่งเอกสาร หรือ มาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นต่อกมธ.
ทั้งนี้กำหนดกรอบระยะเวลาให้หน่วยงานรัฐ รายงานผลดำเนินการต่อกมธ.ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากประธานกมธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในประเด็นการกำหนดโทษส่วนของเอกชนที่กมธ.เรียกให้ชี้แจงต่อกมธ. หากไม่ปฏิบัติตาม มีข้อถกเถียงว่าอาจเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะมีผลกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพกับบุคคลธรรมที่อาจถูกนำไปเป็นประเด็นยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความได้อีก จึงมีข้อเสนอให้กำหนดเป็นการปรับเป็นพินัยที่ต้องนำไปออกกติกาเพื่อให้บังคับใช้ได้อย่างเหมาะสม แต่พบว่ามีความเห็นแย้งกัน จึงให้ กมธ.สงวนคำแปรญัตติไปอภิปรายต่อที่ประชุมสภาฯ ต่อไป