เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ต.ค.67 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย พล.อ.อ.นพ.อิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา และ ดร.นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนและบริการสุขภาพ เดินทางเข้าแจ้งความเอาผิด ดร.ฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือบอสหมอเอก ที่แอบอ้างเป็นหมอ

นายกองตรี ดร.ธนกฤต เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่ทางบอสหมอเอก ได้มีการแสดงตนเป็นหมอ และมีการเผยแพร่ภาพและคลิปผ่านสื่อโซเชียลที่มีการตรวจผู้ป่วย ทำให้เกิดความสับสนและทำให้เกิดความไม่สบายใจในสังคม ต่อมามีผู้มาร้องที่กระทรวงสาธารณสุข และร้องมายังหน่วยงานทางแพทยสภา ทางเลขาธิการแพทยสภาจึงได้ประสานมาในส่วนของทางกระทรวงสาธารณสุขและกรมสนับสนุนและบริการสุขภาพโดยตรง ทั้งนี้ได้มีการสอบถามไปยังแพทยสภา โดยแพทยสภาได้ยืนยันแล้วว่าบอสหมอเอกไม่ได้มีชื่ออยู่ในระบบของการเป็นนายแพทย์ หากไม่ปรากฏชื่อในแพทยสภาก็นับว่าเป็นหมอเถื่อน และเท่าที่ทราบตัวบอสหมอเอกได้เรียนจบเทคนิคการแพทย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาประกอบอาชีพเกี่ยวกับเวชกรรมหรือรักษาคนได้แบบหมอ

ในวันนี้จึงเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความเอาผิดบอสหมอเอก ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรื่องสถานที่ที่ใช้ในการตรวจรักษา ก็จะต้องดำเนินการในส่วนของ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐาน ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต เบื้องต้นในวันพรุ่งนี้จะลงพื้นที่ตรวจสถานพยาบาลและคลินิกดังกล่าวจำนวน 2 จุด ว่ามีการขออนุญาตหรือไม่

ขณะที่ พล.อ.อ.นพ. อิทธิพร กล่าวว่า หลังจากเมื่อวานที่ผ่านมา แพทยสภาได้เดินทางเข้ามาแจ้งความดำเนินคดีกรณีบอสหมอเอกที่แอบอ้างเป็นแพทย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการเฉพาะตัวบุคคล แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีความผิดที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.สถานพยาบาลด้วย จึงได้ประสานไปยังกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากเมื่อมีการเปิดรักษาก็ต้องมีการใช้สถานพยาบาลด้วย กรณีดังกล่าวจึงมีความเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม กรณีเป็นแพทย์เถื่อน และพ.ร.บ.สถานพยาบาล โดยกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการคู่ขนานไปกับแพทยสภา ส่วนเรื่องของใบประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ของบอสหมอเอกซึ่งเป็นสาขาที่เรียนจบมานั้น คาดว่าปัจจุบันน่าจะหมดอายุไปแล้ว โดยจะต้องตรวจสอบกับทางสภาเทคนิคการแพทย์อีกครั้ง