หากเอ่ยถึง “สหรัฐอเมริกา” ก็ถูกจัดให้เป็นประเทศที่บริโภค คือ ใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ตามการเปิดเผยของ “สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ” หรือ “ไออีเอ” โดยระบุว่า บริโภคกันมากถึง 97,103,871 บาร์เรล หรือคิดเป็นร้อยละ 20.3 ซึ่งก็เท่ากับ 1 ใน 5 ของการบริโภคพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศต่างๆ ทั้งหมดทั่วโลกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ราคาของพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ยังสามารถกระจกสะท้อน เป็นดัชนีอ้างอิง ถึงภาวะอัตราเงินเฟ้อในประเทศ ว่าราคาสินค้าแพงหรือถูกประการใด ซึ่งก็คล้ายๆ กับประเทศทั้งหลาย ที่ราคาสินค้าอิงกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
ด้วยประการฉะนี้ นโยบายด้านพลังงานของพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งในสหรัฐฯ มี 2 พรรคใหญ่ด้วยกัน คือ พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน จึงได้รับการจับตาจ้องมองจากประชาชนชาวอเมริกันเป็นอย่างมากนโยบายหนึ่งว่า หากพรรคการเมืองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งขึ้นมาบริหารประเทศ ทิศทางการจัดการด้านพลังงานจะเป็นอย่างไร และมีประสิทธิภาพตามที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้กันเพียงไหน
โดยชาวอเมริกันให้ความสำคัญต่อนโยบายด้านพลังงานกันเพียงใดนั้น ก็สามารถพิสูจน์ทราบได้จากผลสำรวจความคิดเห็น หรือโพลล์ ที่จัดทำขึ้นในหลายๆ สำนักโพลล์
อาทิเช่น สำนักโพลล์ “มอร์นิง คอนซัลท์” ที่ล่าสุดดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกัน เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ที่เพิ่งผ่านพ้นมานี้ ในพื้นที่ “รัฐสมรภูมิ” หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “รัฐสวิงสเตท” ซึ่งมีอยู่ 7 รัฐด้วยกัน ได้แก่ เพนซิลเวเนีย จอร์เจีย นอร์ทแคโรไลนา มิชิแกน แอริโซนา วิสคอนซิน และเนวาดา ผลปรากฏว่า เฉลี่ยแล้วเกือบร้อยละ 90 หรือเกือบ 9 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม ล้วนตอบว่า ให้ความสำคัญต่อนโยบายด้านพลังงานนี้
โดยทาง “มอร์นิง คอนซัลท์” บริษัทผู้สำรวจ วิเคราะห์ วิจัย และให้คำปรึกษาด้านธุรกิจในสหรัฐฯ ได้จำแนกแยกย่อยของผลการสำรวจในแต่ละรัฐสมรภูมิทั้ง 7 แห่ง ได้ดังนี้
รัฐเพนซิลเวเนียที่ร้อยละ 85
รัฐจอร์เจีย ร้อยละ 86
รัฐนอร์ทแคโรไลนา ร้อยละ 88
รัฐมิชิแกน ร้อยละ 86
รัฐแอริโซนา ร้อยละ 88
รัฐวิสคอนซิน ร้อยละ 87
และรัฐเนวาดา ร้อยละ 87
นั่น! เป็นตัวเลขของผลโพลล์ที่สำรวจได้ในพื้นที่ 7 รัฐที่สองผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 (พ.ศ. 2567) คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครฯ จากพรรครีพับลิกัน และนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครต จะต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นพื้นที่ 7 รัฐ ที่ผู้สมัครฯ ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในฐานะที่เป็นรัฐสมรภูมิ หรือรัฐสวิงสเตท ซึ่งสามารถชี้ขาดผลแพ้-ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาทุกยุค ทุกสมัย
นอกจากบรรดาสำนักโพลล์หลายแห่ง ก็สำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันเกี่ยวกับความเชื่อถือ เชื่อมั่น ในนโยบายด้านพลังงาน รวมถึงความนิยมชมชอบการใช้พลังงานประเภทต่างๆ เอาไว้ด้วย เช่น การสำรวจโดย “ราสมุสเซน” ซึ่งเป็นสำนักสำรวจโพลล์ชื่อดังอีกแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายเดือนถึงสิ้นเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านพ้นไป
โดย “ราสมุสเซน” เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นว่า ชาวอเมริกันที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ให้ความสำคัญต่อนโยบายด้านพลังงาน โดยคิดเป็นถึงร้อยละ 82 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามเลยทีเดียว
เรียกได้ว่า 8 ใน 10 ของชาวอเมริกันที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในรัฐต่างๆ ทั่วไป ที่มิใช่เฉพาะรัฐสมรภูมิ หรือรัฐสวิงสเตทเท่านั้น ที่ให้ความสำคัญต่อนโยบายด้านพลังงานของสองพรรคการเมืองว่าจะเป็นเช่นไร?
การสำรวจโพลล์ของ “ราสมุสเซน” ยังพบด้วยว่า ในจำนวนร้อยละ 82 ข้างต้น ปรากฏว่า ร้อยละ 45 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านพลังงานในระดับที่มากๆ คือ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากนั่นเอง
พร้อมกันนี้ ทาง “ราสมุสเซน” ยังสำรวจความคิดเห็นในเรื่องความเชื่อมั่นที่มีต่อนโยบายด้านพลังงานของกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และลงทะเบียนกันในแต่ละพรรค
ผลปรากฏว่า ผู้มีสิทธิออกเสียงฯ และลงทะเบียนของพรรครีพับลิกัน ให้ความเชื่อถือ เชื่อมั่น ต่อนโยบายด้านพลังงานของพรรครีพับลิกันที่พวกเขาศรัทธา โดยมีจำนวนมากคิดเป็นร้อยละ 44
โดยตัวเลขข้างต้น แซงหน้าของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงฯ และลงทะเบียนของพรรคเดโมแครต ให้ความเชื่อมั่นต่อนโยบายด้านพลังงานของพรรคเดโมแครตที่พวกเขาชื่นชอบที่ร้อยละ 43
ทั้งนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นที่ออกมา แม้จะสูสีคู่คี่ใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังถือว่า พลพรรครีพับลิกัน ให้ความเชื่อมั่นต่อนโยบายด้านพลังงานของพรรคฯ ที่พวกเขานิยมชมชอบมากกว่า
ขณะที่ กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ และไม่ออกความคิดเห็นมีจำนวนรวมแล้วร้อยละ 12
ในการสำรวจความคิดเห็น ยังพบด้วยว่า พลพรรครีพับลิกันกับเดโมแครต มีแนวคิดแตกต่างกันอย่างแทบจะสิ้นเชิงเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงาน
โดยพลพรรครีพับลิกัน ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไปในเรื่องความมั่นคงทางพลังงานเป็นหลัก โดยพลังงานที่ว่า จะมาจากแหล่งใดก็ได้ ทั้งน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งก็เป็นพลังงานเชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล นั่นเอง ที่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อต้าน เพราะส่งผลกระทบต่อมลภาวะทางอากาศ และปัญหาโลกร้อน
สวนทางแตกต่างจากพลพรรคเดโมแครต ที่ให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทน หรือพลังงานหมุนเวียนมากกว่า เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น ซึ่งพลังงานเหล่านี้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นที่ชื่นชอบต่อกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม