‘เดอะ สตูดิโอ พาร์ค’ ผนึกกำลัง ‘สเตจฟอร์’ และ ‘สุพรีม สตูดิโอ’ ทุ่มงบ 200 ล้านบาท เปิดตัว ‘Figment Studio’ ชูนวัตกรรม Virtual Production ที่ทันสมัยที่สุดใน Southeast Asia เจาะกลุ่มกองถ่ายภาพยนตร์-โฆษณาทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าเป็นท็อป 5 ของเอเชีย

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในการแถลงข่าวเปิดตัว “Figment Studio” ร่วมด้วย นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ดร.ปณิตาภา สวนแก้ว หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมธุรกิจภาพยนตร์และวิดีทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร, ผู้แทนจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แขกผู้มีเกียรติในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และคนในวงการโปรดักชันร่วมงานอย่างคับคั่ง

นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การเปิดตัว Figment Studio ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะการนำนวัตกรรม Virtual Production ที่กำลังจะเป็นอนาคตของวงการภาพยนตร์ทั่วโลกมาใช้ ทำให้ไทยมีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ระดับสากล และเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นการพัฒนาในด้านนี้ เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

         

นายชยานนท์ อุลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะสตูดิโอ พาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “Figment Studio” (ฟิกเมนท์ สตูดิโอ) เกิดจากความร่วมมือของพันธมิตรทางธุรกิจที่นำจุดเด่นของแต่ละบริษัทมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น เดอะสตูดิโอ พาร์ค ผู้ให้บริการสตูดิโอ Sound Stage และสถานที่ถ่ายทำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บนพื้นที่กว่า 216 ไร่ ในจังหวัดสมุทรปราการที่รองรับการถ่ายภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูดมาแล้วมากมาย ร่วมด้วย บริษัท สเตจฟอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม XR และ Virtual Production ชั้นแนวหน้าในประเทศไทย และบริษัท สุพรีม สตูดิโอ จำกัด ผู้นำเข้าเทคโนโลยี Virtual Production ที่ทันสมัยสูงสุดรายแรกในประเทศไทยและใน Southeast Asia ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ใช้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ลงทุนในอุปกรณ์ ระบบ ซึ่งเป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อสร้างให้ Figment Studioเป็น Virtual Production ที่สามารถสร้างภาพของโลกเสมือนและโลกแห่งความเป็นจริงมาผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อยกระดับงานโปรดักชันไทยให้ทัดเทียมกับสตูดิโอชั้นนำระดับสากล

“Figment Studio เป็นสตูดิโอแห่งเดียวในประเทศไทยและ Southeast Asia ที่สามารถให้บริการได้ทั้ง On & Off Site Virtual Production/ICVFX มีโครงสร้างพื้นฐานระบบ Virtual Production ที่ครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยผสานกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ทำให้สามารถถ่ายทำภายในสตูดิโอโดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่จริง เพื่อช่วยลดต้นทุนลดเวลาการผลิต การสร้างฉาก การเคลื่อนย้ายทีมนักแสดงไปยังสถานที่จริง ลดขั้นตอนในการขออนุญาตต่างๆ ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ซึ่งระบบนี้จะช่วยให้ผู้กำกับและทีมงานสามารถเปลี่ยนแปลงฉาก สภาพอากาศหรือแสงไฟได้ในทันทีตามที่ต้องการ โดยเรามีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทั้ง LED Wall และ Unreal Engine ช่วยทำฉากให้สมจริงและง่ายกว่าการทำ CGI แบบเดิมมาก ภายในเดอะสตูดิโอ พาร์ค มีสตูดิโอ Sound Stage ที่เก็บเสียงรบกวนที่ได้มาตรฐานขนาดใหญ่ทั้งหมด 5 สตูดิโอ ประกอบด้วย Figment Studio ที่เซ็ตไว้แล้วพร้อมใช้งานได้ทันที และอีก 4 สตูดิโอที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการที่ตอบโจทย์งานโปรดักชันที่หลากหลาย”

นายชยานนท์  กล่าวต่อว่า เรามั่นใจว่า Figment Studio จะสามารถดึงดูดกองถ่ายให้เข้ามาในประเทศและใช้ระบบนี้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ โฆษณา Music Video สื่อและแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Netflix, Disney+, TikTok, YouTube , Amazon Prime, VIU ที่ต้องการสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง ควบคุมการผลิตในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงอุตสาหกรรมเกมและแอนิเมชัน ซึ่งกลุ่มนี้สามารถใช้ Virtual Production สร้างฉากเสมือน หรือ Motion Capture ในโปรเจกต์ต่างๆได้ โดยเรามีความตั้งใจที่อยากผลักดันให้โปรดักชันในประเทศเข้าถึงและหันมาใช้งานระบบ Virtual Production มากขึ้น จึงมีการจัดเวิร์กช็อปด้านการถ่ายทำในสตูดิโอเสมือนจริง ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ อย่าง บพค. และ CEA เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างทักษะให้กับบุคลากรให้เพียงพอกับความต้องการในอุตสาหกรรมนี้ และหากรัฐบาลมีมาตรการอำนวยความสะดวกทางด้านภาษีให้กับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ก็จะสามารถดึงดูดให้กองถ่ายต่างชาติเลือกเข้ามาถ่ายทำในไทยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงทั้งระบบ โดยตั้งเป้าให้ Figment Studio ขึ้นเป็นท็อป 5 ของภูมิภาคเอเชียให้ได้ภายใน 5 ปี

นายเขมณัฎฐ์ เสริมพงค์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สเตจฟอร์ จำกัด และ ผู้จัดการ Figment Studioกล่าวว่า สเตจฟอร์ เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม XR (Extended Reality) และ Virtual Production มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทย จึงทำให้เรามีความเชี่ยวชาญและได้อยู่เบื้องหลังโปรเจกต์ใหญ่ ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะในปีที่ผ่านเราได้รับความไว้วางใจให้ทำระบบ Virtual Production ให้กับโปรเจกต์ของ Netflix ทั้งหมด 3 เรื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือซีรีส์ “สืบสันดาน” และยังได้ร่วมงานกับกองถ่ายภาพยนตร์ “Alien Earth” ภาคซีรีส์ของ FX ที่ยกกองมาถ่ายทำในไทย โดยเราเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการ Operation ระบบ Virtual Production/ICVFX ตลอดทั้งการถ่ายทำในประเทศ

“การผนึกกำลังกันของทั้ง 3 บริษัทฯ จะทำให้เรามีบุคลากรทั้งฝ่ายบริหาร ทีมผู้เชี่ยวชาญปฏิบัติงาน และเทคโนโลยีที่ทันสมัยทัดเทียมกับที่สตูดิโอชั้นนำในระดับโลก ที่ให้บริการได้อย่างครบวงจรที่สุดในประเทศไทย โดยเราจะใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนานในการบริหารจัดการ ให้คำปรึกษาและจัดทำโปรเจกต์ทดลองการใช้งานระบบ Virtual Production/ ICVFX  เพื่อสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าเดิม รวมถึงสร้างการเติบโตให้กับ Figment Studio ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งในและต่างประเทศเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย สร้างโอกาส Business Matching ควบคู่กันไปทุกเทศกาลเพื่อหาคู่ค้าที่มีศักยภาพให้ได้มากที่สุด โดยเราวางสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ 60% และคนไทย 40% นอกจากนี้ เรายังมีความตั้งใจที่จะช่วยผลักดันให้โปรดักชันภายในประเทศสามารถเข้าถึงการใช้งานระบบ Virtual Production/ ICVFX ที่ Figment Studio ให้เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ ทดลองความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการใหม่ๆตามสโลแกน “Your Imagination is our Stage” ซึ่งเราเชื่อว่าจะช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศทั้งระบบเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

นางสาวณัฎฐา เนลเลปเชนโก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สุพรีม สตูดิโอ จำกัด กล่าวว่า สุพรีม สตูดิโอ เป็นรายแรกที่นำเข้าเทคโนโลยี Virtual Production ที่ทันสมัยสูงสุดใน Southeast Asia ซึ่งมีสตูดิโอชั้นนำทั่วโลกมาใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น ROE Visual, Brompton, Stype, OptiTrack , BOLT นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ชั้นนำที่ใช้เทคโนโลยี LED ของเราในการถ่ายทำโฆษณา โดยเรามีส่วนร่วมในการถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลกอย่าง “The Greatest Beer Run" และ "Thai Cave Rescue" จึงทำให้เรามีฐานลูกค้าเดิมอยู่ในมือจำนวนมาก

“เรามีบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในระบบ Virtual Production ทั้งด้านเทคโนโลยีและ Technician ที่เกี่ยวข้อง เช่น LED Engineer, Video Engineer, Tracking Engineer ที่สามารถให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากจุดแข็งที่มีของทั้ง 3 บริษัทที่มาผนึกกำลังกันในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะทำให้ Figment Studio ขึ้นแท่นเป็น Virtual Production อันดับหนึ่งในไทยทันที และจะสามารถก้าวสู่การเป็นท็อป 5 ในภูมิภาคเอเชียได้อย่างแน่นอน”