คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

การดีเบตครั้งแรกที่เกิดขึ้นระหว่าง “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กับ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2024 ที่จัดโดยสถานีโทรทัศน์ช่องเอบีซี นิวส์ ณ รัฐฟิลาเดลเฟีย นับเป็นการแสดงความเป็นผู้นำของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ต่อชาวอเมริกันทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยเธอเป็นฝ่ายคุมเกมทั้ง 90 นาที ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้าย

ทั้งนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้เรียกคะแนนก่อนที่จะมีการดีเบต ด้วยการเดินตรงผ่านโพเดียมของเธอราวหกฟุตเพื่อเข้าไปจับมือทักทายก่อน มีผลทำให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ตกตะลึกแบบคาดการณ์ไม่ถึง และหลังจากจับมือเสร็จเธอก็ได้เสริมกล่าวว่า “ขอให้เราทั้งสองดีเบตกันแบบสนุกแๆ”

และตั้งแต่ที่เธอถูกตั้งคำถามจากพิธีกรคำถามแรกเรื่อยไปจนถึงคำถามสุดท้าย ปรากฏให้เห็นว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส มุ่งเน้นเสนอวิสัยทัศน์ในโครงการต่างๆ เพื่อต้องการรับใช้คนชั้นกลาง โดยเธอบอกว่าเธอเติบโตมาจากชนชั้นกลางและต้องการยกจะระดับชนชั้นกลาง เธอต้องการสานฝันให้แก่ชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ อาทิเช่น เธอต้องการจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการมีบ้านเป็นครั้งแรก โดยจะร่วมมือกับอุตสาหกรรมด้านการก่อสร้างด้วยการสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอีกสามล้านหลังคาเรือน เพราะขณะนี้สหรัฐฯขาดแคลนบ้าน อีกทั้งที่อยู่อาศัยก็มีค่าเช่าราคาแพง และตามท้ายมาด้วยเธอต้องการจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ตั้งใจเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศด้วยเงินช่วยเหลือ 50,000 ดอลลาร์!!!

นอกจากนั้นรองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้กล่าวโยงไปถึงการบริหารประเทศในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเขาได้ลดหย่อนภาษีให้กับบรรดามหาเศรษฐีและบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลให้สหรัฐฯมีการขาดดุลถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ อีกทั้งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีแผนการว่า หากเขาได้เข้าไปดำรงตำแหน่งอีกครั้งคราหนึ่ง เขาก็จะเรียกเก็บภาษีสินค้าประจำวันเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มภาระต่อความเป็นอยู่ของคนอเมริกันมากขึ้นไปอีก

นอกจากนั้นรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ก็ยังได้กล่าวต่อในการดีเบตว่า ครั้งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก้าวเข้าไปรับช่วงการบริหารประเทศนั้น อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทิ้งปัญหาต่างๆเอาไว้มากมาย เช่น ทิ้งอัตราของการว่างงานเอาไว้สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ทิ้งด้านสาธารณสุขที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษ แถมอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ทิ้งการโจมตีระบอบประชาธิปไตยที่ร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่การเกิดสงครามกลางเมืองโดยปัญหายุ่งเหยิงต่างๆที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ทิ้งเอาไว้นั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจำต้องใช้เวลาสามปีกว่าๆสะสางเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ถือว่าอันตรายที่สุดสำหรับคนอเมริกันก็คือ นโยบายที่เรียกว่า “โปรเจกต์ 2025” ที่มีความยาวเกือบหนึ่งพันหน้าที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งใจจะนำมาปฏิบัติหากเขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย เช่น ยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการ เนรเทศคนต่างด้าวกว่าสิบล้านคนให้กลับไปภูมิลำเนาเดิม และจะอาศัยมือของกระทรวงยุติธรรมลงโทษผู้ที่เป็นศัตรูของเขา เป็นต้น!!!

ทั้งนี้ขณะที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส หยิบยกประเด็นสำคัญต่างๆเหล่านี้ขึ้นมานำเสนอปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ตีหน้าปูเลี่ยนๆมิยอมสบสายตากับรองประธานาธิบดีแฮร์ริสเลยตลอดเวลาการดีเบต 90 นาที

ในตอนท้ายรองประธานาธิบดีแฮร์ริสสรุปออกมาว่า วิสัยทัศน์ของเธอมุ่งเน้นในการกำหนดเส้นทางใหม่ไปสู่อนาคต โดยไม่ต้องการย้อนกลับไปในอดีต และวิสัยทัศน์ของเธอยังรวมไปถึง สร้างความฝัน สร้างความหวัง สร้างความทะเยอทะยานให้กับชาวอเมริกัน นั่นก็คือส่งเสริมการลงทุนให้แก่คนชั้นกลางในรูปแบบธุรกิจขนาดเล็ก ปกป้องดูแลคนสูงอายุ และเหนือสิ่งอื่นใดรักษาสถานะความเป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเอาไว้

และหลังจากที่การดีเบตจบลง จากผลการหยั่งเสียงของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นได้เปิดเผยออกมาว่า รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสชนะการดีเบตเหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ที่ 63% ต่อ 37%

ส่วนโพลของ YouGov ซึ่งเป็นสำนักหยั่งเสียงที่ได้รับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างสูงได้ออกมารายงานว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริส สามารถชนะการดีเบตกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยคะแนน 54% ต่อ 31%

ทั้งนี้สองวันหลังจากการดีเบตเสร็จสิ้นลง ปรากฏว่าผลการหยั่งเสียงของสำนักข่าวรอยเตอร์สได้ออกมารายงานคะแนนนิยมของ รองประธานาธิบดีแฮร์ริสว่า ขณะนี้คะแนนนิยมของเธอนำหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้ว  5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 47% ต่อ 42%

และหนึ่งสัปดาห์ต่อมา จากการสำรวจของสำนักหยั่งเสียงสถานีโทรทัศน์ ABC ที่จัดดีเบตได้เปิดเผยว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริสมีคะแนนเหนืออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ 6% คือ 52% ต่อ 46%

สำนักรอยเตอร์สยังเปิดเผยอีกว่า เหตุผลที่คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสเป็นที่นิยมมากขึ้น สืบเนื่องมาจากชาวอเมริกันที่รับชมการดิเบตในครั้งนี้ได้รับรู้ถึงจุดยืนและวิสัยทัศน์ของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสมากขึ้นนั่นเอง!!!

นอกจากนั้นสำนักหยั่งเสียง Morning Consult ซึ่งเป็นสำนักหยั่งเสียงที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกแห่งหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2024 ว่า คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส นำหน้า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ 5%  และรองประธานาธิบดีแฮร์ริสยังได้รับเสียงสนับสนุนจากฝ่ายอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เหนือกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ 46% ต่อ 40% ด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้วการออกมาให้ความคิดเห็นในการดีเบตของ “ศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิชท์แมน” แห่ง “มหาวิทยาลัยอเมริกัน” ที่ศาสตราจารย์ท่านนี้ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าว “สถานีโทรทัศน์ช่อง BNBC International” เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2024 ว่า การดีเบตในครั้งนี้ดูเหมือนว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มิได้แสดงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนออกมาแต่อย่างใดในช่วงเวลาทั้งหมด 90 นาทีแถมยังพูดจาไร้สาระ ไม่ตรงประเด็น

นอกจากนั้นแล้วศาสตราจารย์ดร.ลิชท์แมน ยังได้กล่าวยืนยันถึงการทำนายของท่าน เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2024 (ห้าวันก่อนหน้าที่การดีเบตจะเกิดขึ้น)ว่า รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา!!!

อนึ่งศาสตราจารย์ลิชท์แมนเคยสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมด้านการทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯได้อย่างถูกต้องแม่นยำติดต่อกันมานานกว่าสี่สิบกว่าปี โดยอาศัยสูตรกุญแจ 13 ดอก

แต่ก็ยังมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำนายผลการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่แม่นยำอีกคนหนึ่งนั่นก็คือ “เนท ซิลเวอร์” โดยเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2024 เขาได้ออกมากล่าวแถลงคำทำนายของเขาว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งคราหนึ่ง ซึ่งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะชนะ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ด้วยคะแนนอิเล็กโทรัล 58.2% ต่อ 41.6%

แต่ภายหลังจากการดีเบตเสร็จสิ้นลงปรากฏว่า เนท ซิลเวอร์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะไปลงคะแนนให้กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริส โดยเขายังได้รายงานต่อไปอีกว่า ขณะนี้โดยเฉลี่ยแล้วคะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส นำหน้าเหนือกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ 48.7% ต่อ 46.7%

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหลังจากที่การแข่งขันประชันฝีปากดีเบตจบลงปรากฏว่า “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” สามารถพูดและนำเสนอนโยบายได้ถูกตาต้องใจคนอเมริกัน 67 ล้านคน จนเธอสามารถได้รับเงินบริจาคที่หลั่งไหล เพื่อให้เธอนำไปใช้ในการหาเสียงเพิ่มขึ้นอีก 47 ล้านเหรียญเลยทีเดียวภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วน “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เหมือนว่าจะโดนทั้งหมัดชกซ้ายชกขวาไปเต็มทั้งสองกกหู ที่เขาจะต้องใช้เวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่อีกไม่มากจนกว่าจะถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ไปแก้ไขเยียวยา แต่หากว่าเขาทำไม่สำเร็จ อนาคตในเส้นทางการเมืองของเขาคงจะมืดมนไร้แสงสว่างที่จะส่องให้เขาได้ก้าวอีกต่อไปละครับ