แม้ใครต่อใครจะต่อว่าต่อขานว่า เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สร้างความปั่นป่วนให้แก่โลกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ จากผลพวงการดำเนินนโยบายต่างๆ เช่น การดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ จนสร้างความสั่นสะเทือนในวงการเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศกันไปทั่ว แต่เมื่อสอบถามความคิดเห็นของชาวอเมริกัน ที่มีต่อผู้นำของพวกเขา คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป กลับได้รับเสียงนิยมชมชอบ แบบสวนทางกลับตาลปัตรกันเลยทีเดียว

การเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็นอ่าวอเมริกา หนึ่งในนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จนสร้างความวุ่นวายกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก (Photo : AFP)

ภายหลังจากได้ดำเนินการสำรวจโพลล์ของชาวอเมริกัน เกี่ยวกับคะแนนนิยม และความคิดเห็นที่มีต่อประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งล่าสุด เมื่อช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนพฤษภาคมนี้จากเหล่าบรรดาสำนักโพลล์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการบริหารด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีจอมสร้างสีสันรายนี้ บรรดาประชาชนชาวอเมริกัน ต่างก็เชื่อมั่น เชื่อมือ กันเป็นอย่างมาก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับการดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ จนกลายเป็นสงครามการค้ากับประเทศต่างๆ แทบจะทั่วโลก (Photo : AFP)

ยกตัวอย่าง การสำรวจโพลล์ซึ่งจัดทำโดยรอยเตอร์ส สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดังที่มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ที่จับมือกับอิปซอส ธุรกิจด้านการวิจัยและให้คำปรึกษาด้านการตลาดระหว่างประเทศ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามร้อยละ 44 มีความนิยมชมชอบต่อผลงานประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์

โดยคะแนนนิยมข้างต้น ก็ต้องบอกว่า เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านพ้นมา อันเป็นห้วงเวลาที่ประธานาธิบดีทรัมป์ บริหารประเทศมา 100 วัน ซึ่งในครั้งนั้นคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ร้อยละ 42

ทั้งนี้ คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นมา ก็เพราะชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นในการบริหารทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีเป็นเหตุปัจจัยสำคัญประการหนึ่งด้วย ซึ่งเมื่อดำเนินการสำรวจความคิดเห็นแบบแยกย่อยลงไปในเรื่องการจัดการด้านเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ก็พบว่า ชาวอเมริกันเชื่อถือ เชื่อมั่น ในด้านนี้ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ที่ร้อยละ 39 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 36 ในการสำรวจความคิดเห็นก่อนหน้า

ส่วนประเด็นเรื่องความกังวลเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ว่าจะถดถอยนั้น กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามที่แสดงความกังวลมีจำนวนร้อยละ 69 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากการสำรวจโพลล์ก่อนหน้านี้ที่มีจำนวนถึงร้อยละ 76

ประชาชนชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งที่ออกมาแสดงพลังสนับสนุนต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ (Photo : AFP)

เช่นเดียวกับ ความวิตกกังวลเรื่องผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่มีต่อตลาดหุ้น หรือตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ นั้น ในการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันครั้งล่าสุด ก็พบว่า วิตกกังวลลดลงจากร้อยละ 67 เหลือร้อยละ 60

เหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า จากตัวเลขที่ออกมานั้น ก็สะท้อนให้เห็นว่า ส่วนหนึ่งประชาชนชาวอเมริกัน เริ่มคลายความห่วงกังวลเกี่ยวกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ถดถอยนั้น ก็ที่จะไม่วิตกกังวลกันแล้ว

ภายหลังจากที่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย วิตกกังวลกันว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจจะเผชิญกับภาวะถดถอย อันสืบเนื่องจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ต่อบรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับการทำสงครามการค้า (Trade War) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้จุดชนวน จนส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศโดยรวมกว่า 180 ประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ ประเทศผู้ออกมาตรการนี้เองด้วย

นอกจากนี้ ก็ยังมีสำนักโพลล์อื่นๆ ก็ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันที่มีต่อความพึงพอใจในผลงานการบริหารประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งตัวเลขที่ออกมาก็คือคะแนนนิยมของผู้นำสหรัฐฯ ฝีปากกล้ารายนี้

เช่น “เอเชรอนอินไซท์” สถาบันวิจัยซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า กลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันที่นิยมชมชอบประธานาธิบดีทรัมป์จำนวนถึงร้อยละ 46 มากกว่าที่โพลล์รอยเตอร์ส/อิปซอส สำรวจมาได้

ชาวอเมริกันอีกจำนวนหนึ่งแสดงการประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ (Photo : AFP)

ส่วน “ยูกอฟ” สำนักวิจัยการตลาดและการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีที่สำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงลอนดอน เมืองลวงของอังกฤษ ก็สำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันกลุ่มตัวอย่างแล้วพบว่า ร้อยละ 43 ยังคงชื่นชอบในผลงานการบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์

ทางด้าน “มอร์นิง คอนซัลท์” ซึ่งมีสำนักงานหลายแห่งในสหรัฐฯ เช่น ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มหานครนิวยอร์ก ชิคาโก และซานฟรานซิสโก ก็เผยผลการสำรวจคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ว่า อยู่ที่ร้อยละ 45

ด้าน “แควนตัส อินไซท์” ก็รายงานผลสำรวจความคิดเห็นออกมาระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 48

แต่ที่นับว่า ได้ตัวเลขออกมาสูงที่สุด ก็เป็นการสำรวจโพลล์โดย “อาร์เอ็มจี รีเสิร์ช” ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้คะแนนนิยมไปถึงร้อยละ 49

การจับจ่ายซื้อสินค้าต่างๆ ของชาวอเมริกัน (Photo : AFP)

อย่างไรก็ตาม ในการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ภายใต้การบริหารจัดการของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่แม้ว่าจะเชื่อถือ เชื่อมั่น ดังที่รายงานข้างต้นแล้วก็ตาม แต่ก็พบว่า หากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาวะถดถอยขึ้นมาจริงๆ ในปีนี้ ก็อาจจะเป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาดโดยตัวของประธานาธิบดีทรัมป์เอง ซึ่งชาวอเมริกันที่มีความคิดเช่นนี้ ก็มีจำนวนมากถึงร้อยละ 69 อันเป็นตัวเลขที่แตกต่างเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบในสมัยของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งหมดวาระไปนั้น ที่มีผู้กล่าวโทษประธานาธิบดีไบเดนเพียงร้อยละ 37 เท่านั้น ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะประธานาธิบดีทรัมป์ ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศที่โลดโผนโจนทะยาน จึงมีความสุ่มเสี่ยงยิ่งกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับยุคสมัยของอดีตประธานาธิบดีไบเดนที่ผ่านมา