DSI ส่งสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหากรณี “แชร์ Nice review 2”เสียหายกว่า 300 กว่าล้าน
วันที่ 19 ก.ย.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ได้สอบสวนคดีพิเศษที่ 161/2562 กรณี มีบุคคลกล่าวหา บริษัท แห่งหนึ่ง กับพวก มีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชนด้วยการประกาศ โฆษณาให้ประชาชนทั่วไป สมัครงาน เข้าทำงานผ่านเว็บไซต์ ในการกดถูกใจ กดแบ่งปัน และแสดงความคิดเห็นในทางบวกให้กับสินค้าต่างๆ ที่บริษัทจัดหามา โดยบริษัทจะส่งลิงค์การทำงานมาให้สมาชิกในเว็บไซต์ของบริษัท ในการสมัครสมาชิกเพื่อทำงานจะมีการจ่ายค่าสมาชิกเป็นแพคเกจต่าง ๆ
โดยบริษัทเสนอผลตอบแทนสูงในอัตราร้อยละ 365- 485.45 ต่อปีของจำนวนเงินที่ลงทุนหรือค่าสมาชิกทั้งที่บริษัทมิได้ประกอบธุรกิจจริงหรือมีผลตอบแทนสูงจริงแต่เป็นการนำเงินจากสมาชิกรายก่อนมาหมุนเวียนจ่ายมีผู้เสียหายจำนวน 2,641คน ความเสียหาย 333,259,629.24 บาท ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองคดีธุรกิจการเงิน นอกระบบ ได้สอบสวนดำเนินคดีและมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมและประมวลกฎหมายอาญาโดยส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2563 นั้น
ภายหลังจากการดำเนินคดีดังกล่าว กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ได้มีการสอบสวนขยายผลในส่วนของกลุ่มผู้เสียหายที่ยังไม่ได้มาร้องทุกข์ในคดีพิเศษที่ 161/2562 รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่มีการโอน รับโอน
หรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดดังกล่าว เป็นคดีพิเศษที่ 19/2563 ทางคดีสอบสวน เสร็จสิ้นแล้ว
โดย พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ เปิดเผยว่า มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 7 ราย ประกอบด้วย ตัวบริษัท นายณรงค์ (สงวนนามสกุล) นายปัญญา (สงวนนามสกุล) นายมาโนช (สงวนนามสกุล) นางสาวโรซีดะห์ (สงวนนามสกุล) นายศุภณัฐ (สงวนนามสกุล) และนายหฤษฎ์ (สงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยได้มอบหมายให้ พันตรี อรรครินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ รองผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และคณะพนักงานสอบสวนนำสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหา รวม 4 ราย ส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือได้ออกประกาศสืบจับแล้ว