นอกจากเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ ที่ประชาชนอเมริกันวัยเกิน 50 ปี อยากเห็นจากสองพรรคการเมืองใหญ่ คือ เดโมแครต และรีพับลิกัน ที่กำลังชิงชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 (พ.ศ. 2567) ในปลายปีนี้แล้ว เพราะเกี่ยวข้องกับเงินในกระเป๋าและปากท้องของพวกเขาโดยตรง
นโยบายอีกประการหนึ่ง ที่พวกอยากเห็นจากสองพรรคการเมืองใหญ่ข้างต้น ว่าจะดำเนินการอย่างไร เป็นไปในทิศทางใดอีกนโยบายหนึ่งก็คือ “นโยบายเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของประชาชนพลเมือง” นั่นเอง
โดยชาวอเมริกันที่มีสิทธิเลือกตั้ง และมีอายุมากกว่า 50 ปี จำนวนไม่น้อย ถึงกับเอ่ยปากว่า นโยบายนี้สำคัญไม่น้อยไปกว่านโยบายเศรษฐกิจ หรือเผลอๆ จะสำคัญยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ ก็ด้วยคนเรานั้น ถ้ามีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปแล้วนั้น ก็มักจะมีโรคต่างๆ รุมเร้าเบียดเบียน ไม่โรคใดก็โรคหนึ่ง หรือไม่ก็มากันแบบครบเซ็ต เป็นแพ็กเกจของโรคต่างๆ กันมาเลยก็มีจำนวนมิใช่น้อย เช่น โรคหัวใจ ความดันฯ เบาหวาน ที่มารุมเร้ากันอย่างพร้อมหน้าครบครันในคนๆ เดียว
โดยความต้องการของชาวอเมริกันที่มีวัยเกิน 50 ปี ต่อนโยบายด้านการดูแลสุขภาพนี้ ก็ต้องบอกว่า มิใช่การ “มโน” หรือ “ทึกทัก” เอา แต่ทว่า มีผลของการสำรวจศึกษารองรับจากสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในสหรัฐฯ
เป็นการสำรวจศึกษาโดยทาง “มหาวิทยาลัยมิชิแกน” ในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐฯ นั่นเอง ได้ดำเนินการสำรวจศึกษากลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้น และค่อนข้างจะแน่แล้วว่า จะไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนปลายปีนี้ มาตอบแบบสอบถาม ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้สำรวจวิจัยในประเด็นดังกล่าว ในช่วงที่ทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ ได้ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการค่อนข้างจะแน่แล้ว
นั่นคือ พรรครีพับลิกัน ได้ “นายโดนัลด ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฝีปากกล้า มาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนพรรค ส่วนทางพรรคเดโมแครต ซึ่งแม้พรรคจะยังไม่ได้ประชุมใหญ่ เพื่อประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วเป็น “นางกมลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันเป็นตัวแทนพรรค
ผลการสำรวจศึกษาโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน เปิดเผยว่า เกือบร้อยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า พวกเขาให้ความสนใจเป็นอย่างมากต่อนโยบายการดูแลสุขภาพนี้ของสองพรรคการเมืองใหญ่ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกเขาสนใจเป็นอย่างมาก ก็เพราะพวเขามีความกังวลเป็นอย่างมากนั่นเอง เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ หรือจัดการปัญหาสุขภาพของพวกเขา
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ หรือจัดการปัญหาสุขภาพของพวกเขา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “ ไปหาหมอ” แต่ละครั้งของพวกเขานั้น ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง นั่นเอง
ยิ่งการดูแลรักษาโรค ถ้าเรื้อรัง ยืดเยื้อยาวนานเท่าไหร่ ก็หมายความว่า มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเป็นเงาตามตัว
เมื่อสอบถามในรายละเอียดที่ลึกๆ ลงไป ทางมหาวิทยาลัยมิชิแกน ก็พบว่า “การดูแลสุขภาพฟัน และช่องปาก” ของกลุ่มตัวอย่างที่มีวัยเกินกว่า 50 ปีข้างต้นนั้น ดูจะสร้างความกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายให้แก่พวกเขาเป็นอย่างมาก โดยมีตัวเลขของการสำรวจความคิดเห็น หรือโพลล์ ระบุว่า มีจำนวนถึงร้อยละ 45 เลยทีเดียว เนื่องจากมีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก
ทั้งนี้ ในการสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยมจำนวนถึงร้อยละ 67 เลยทีเดียว ที่กังวลต่อค่าใช้จ่ายทางการแพทย์เป็นอย่างมาก
รองลงมาได้แก่กลุ่มที่มีแนวคิดกลางๆ มีจำนวนที่ร้อยละ 54 ที่มีความกังวลเป็นอย่างมากต่อค่าใช้จ่ายทางกาแพทย์ในประเทศ ณ ปัจจุบัน
ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม มีจำนวนผู้ที่กังวลอย่างมากต่อค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ร้อยละ 51
เช่นเดียวกับ ความกังวลที่มีต่อค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสั่งซื้อยา ปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีแนวคิดเสรีนิยมจำนวนร้อยละ 64 ที่กังวลต่อเรื่องนี้ ส่วนกลุ่มแนวคิดแบบกลางมีจำนวนร้อยละ 54 และกลุ่มแนวคิดอนุรักษ์นิยมมีจำนวนร้อยละ 51
ขณะที่ การสำรวจในแต่ละเพศ ปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปที่เป็นสตรี จะมีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในทางการแพทย์และการสั่งซื้อยามากกว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ชาย ที่ตัวเลขร้อยละ 59 ต่อ 54 สำหรับค่าใช้จ่ายในทางการแพทย์ และร้อยละ 58 ต่อ 51 สำหรับความกังวลเป็นอย่างมากที่มีต่อค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสั่งซื้อยา
ทั้งนี้ ความกังวลที่มีต่อค่าใช้จ่ายในทางการแพทย์และดูแลสุขภาพตนเองของกลุ่มตัวอย่างข้างต้น ก็ยังระบุด้วยว่า มีมากยิ่งกว่า การถูกหลอกให้โอนเงิน หรือการถูกโกงด้วยพวกมิจฉาชีพเหมือนอย่างที่หลายๆ ประเทศกลัวกันเสียอีก