วันที่ 9 ก.ค.67ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ภายใต้การอำนวยการของ นายวิทวัส สุคันธรส ผู้อำนวยการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว โดยเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 1, 4 และ 5 ได้ร่วมกันจับกุม นางสาวรัตน์ชรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 185/2567 ลงวันที่ 7พฤษภาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (สาร Phenyl methylamino propane hydrochloride หรือ เมทแอมเฟตามีน ไฮโดรไรต์) อันเป็นการกระทำเพื่อส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ฐานสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และร่วมกันนำของที่ผ่านพิธีการศุลกากรออกไปนอกราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงข้อห้ามสำหรับของนั้น ๆ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 โดยนางสาวรัตน์ชรินทร์ฯ ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงจับกุมผู้ต้องหาที่บริเวณด้านหน้าอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา รวมทั้งบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับกุมและมีการรายงานการจับกุม
ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 แล้ว จึงได้ควบคุมตัวส่งให้พนักงานสอบสวน คดีพิเศษผู้รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ 64/2564 ของกองคดีความมั่นคง โดยนางสาวรัตน์ชรินทร์ฯ เป็นพี่สาวของ นางพัชรินทร์ฯ ผู้ต้องหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้จับกุมแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 โดยทั้งสองคนได้ร่วมกับผู้ต้องหาที่เป็นคนต่างชาติ ได้ร่วมกันซุกซ่อนยาเสพติดในช่องซิปกระเป๋าเดินทางโดยได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ จังหวัดโอซาก้าประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ได้ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากร ประจำท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระของผู้ต้องหาพบวัตถุ 2 ห่อ ซึ่งห่อด้วยกระดาษคาร์บอนภายในห่อบรรจุสารมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ทำการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นสาร Phenyl methylamino propane hydrochloride ปริมาณน้ำหนัก 1,550 กรัม จึงถูกจับกุมโดยความผิดซึ่งหน้าในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยากระตุ้นประสาทและกฎหมายศุลกากรของประเทศญี่ปุ่นและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโอซากามีคำสั่งเนรเทศข้อหาพำนักเกินกำหนดที่ได้รับอนุญาต และส่งตัวกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2561
กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ การสอบสวนเสร็จสิ้นได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษไปยังพนักงานอัยการมีความเห็นควรสั่งฟ้อง และในวันนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีความมั่นคงจะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีพิเศษ เป็นไปตามข้อสั่งการของ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กำหนดให้ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงการบังคับบัญชา จัดชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยเฉพาะหมายจับที่ใกล้ขาดอายุความ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ยังหลบหนี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป