"รมว.เกษตรฯ" สั่งฝนหลวงฯ ช่วยพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ รับมือภาวะฝนทิ้งช่วง
เมื่อวันที่ 1 ก.ค.67 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติการฝนหลวงในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยมีนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร พร้อมด้วยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ให้การต้อนรับ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับฟังรายงานการปฏิบัติการฝนหลวงในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในช่วงที่ผ่านมา พร้อมมอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาฝนทิ้งช่วง และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในการปฏิบัติภารกิจให้เกิดความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี รวมถึงพบกับผู้แทนเกษตรกร ผู้แทนผู้ประกอบการค้าข้าว เพื่อการรับฟังปัญหาอุปสรรคในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และนำมาใช้เป็นแนวทางในการวางมาตรการให้ความช่วยเหลือจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากนั้นได้มอบเมล็ดข้าวพันธุ์ดีให้แก่ผู้แทนเกษตรกร สำหรับนำไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรที่ยังไม่สามารถหว่านข้าวได้ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่นั้นมีสภาพแห้งแล้งเกินไป รวมถึงเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้งจนได้รับความเสียหายจากการหว่านข้าวในรอบแรก และมอบโฉนดเพื่อการเกษตร ให้แก่ผู้แทนเกษตรกร จำนวน 100 ราย เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เฉพาะการเกษตรในการพัฒนาต่อยอด ให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และความมั่นคงในชีวิต
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนทิ้งช่วงและความต้องการน้ำของพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ที่เกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จังหวัดบุรีรัมย์ จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดสุรินทร์ ณ ท่าอากาศยานสุรินทร์ภักดี อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ มีเครื่องบินประจำการสำหรับการปฏิบัติการฝนหลวงชนิด CARAVAN จำนวน 4 ลำ และได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรเพาะปลูกเป็นหลัก ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นเขตอับฝนในช่วงฤดูฝน ประกอบกับลักษณะของดินในพื้นที่เป็นดินร่วนปนทรายที่ไม่สามารถอุ้มน้ำได้ จึงส่งผลให้จำนวนเกษตรกรขอรับบริการฝนหลวงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
และจากการปฏิบัติการฝนหลวงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 29 มิถุนายน 2567 ได้มีการขึ้นบินปฏิบัติการจำนวน 59 วัน ทำให้มีฝนตกในพื้นที่รวม 34 วัน ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ยโสธร และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งทำให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้สามารถเตรียมแปลงสำหรับการเพาะปลูกรอบฤดูกาลผลิตในปีนี้ได้แล้ว
ด้านนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นพื้นที่รอยต่อของ 5 จังหวัด ได้แก่ จ.ร้อยเอ็ด จ.ยโสธร จ.มหาสารคาม จ.ศรีสะเกษ และ จ.สุรินทร์ รวมถึงพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง มีพื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 13 อำเภอ 5 จังหวัด และเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิขนาดใหญ่ของประเทศไทย โดยมีสายพันธุ์ 105 และสายพันธุ์ กข15 ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ทำให้สามารถส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย แต่มักจะได้รับผลกระทบจากภาวะฝนทิ้งช่วง
ในระหว่างเดือนมิถุนายน จนถึงเดือนกรกฎาคม ทำให้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรเสียหายเป็นอย่างมาก ประกอบกับพื้นที่ดังกล่าวอยู่นอกเขตชลประทานจึงต้องอาศัยน้ำฝนในการทำเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะเมื่อปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญ ทำให้ส่งผลกระทบในเรื่องน้ำฝนธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในขณะนี้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีทิศทางไปในทางที่ดีระดับหนึ่งเพราะภาวะเอลนีโญ ในตอนนี้ได้อ่อนกำลังลงแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าสภาพอากาศในตอนนี้จะดีขึ้น ทำให้มีโอกาสการปฏิบัติการฝนหลวงแล้วประสบผลสำเร็จมีมากขึ้นตามลำดับ เพราะการทำงานของเรานั้นต้องอาศัยความชื้นสัมพัทธ์ทางอากาศมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากองค์ประกอบทุกอย่างพร้อมเราจะขึ้นบินทำฝนทันทีเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรไม่ต้องรอนาน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้และพื้นที่อื่นๆ ให้มีน้ำทำการเกษตรอย่างเพียงพอ และผ่านพ้นระยะฝนทิ้งช่วงให้จงได้ อย่างไรก็ตามขอรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ช่วยกันกักเก็บน้ำในพื้นที่ของตนเองให้เพียงพอต่อการใช้งานต่างๆ ในยามฉุกเฉิน ทั้งนี้ทุกท่านสามารถขอรับบริการฝนหลวงได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงทั่วทุกภูมิภาค อาสาสมัครฝนหลวงในพื้นที่ของท่าน ช่องทางโซเชียลมีเดียของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร @drraa_pr และหมายเลขโทรศัพท์ 02-109-5100 ต่อ 410