นายกฯ ส่งเสริมการเติบโตอย่างมั่นคงของ SME ไทย สนับสนุนการจัดงาน Thailand SME Synergy Expo 2024 เพิ่มพูนทักษะและสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ SME ไทย พร้อมเดินหน้าพัฒนาระบบ E-commerce ดึงอินฟลูเอนเซอร์ไทย-จีน ช่วยประชาสัมพันธ์สินค้า SME ไทย เพิ่มโอกาสขยายตลาดสู่ประเทศจีน
วันที่ 23 มิ.ย.67 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งสร้างโอกาสและเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ SME ไทย ผ่านการสนับสนุนการจัด “มหกรรมรวมพลัง SME ไทย” (Thailand SME Synergy Expo 2024) ระหว่างวันที่ 19 - 23 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ SME ด้วยองค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล พร้อมเดินหน้าพัฒนาระบบ E-commerce ดึงอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ทั้งไทยและจีนกว่า 50 ราย ช่วยขายสินค้า SME ไทย เพิ่มโอกาสขยายตลาดสู่ประเทศจีน สนับสนุน SME ไทยเติบโตอย่างมั่นคง เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนของประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ 40% ต่อ GDP
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ และพันธมิตรกว่า 90 หน่วยงาน ร่วมกันจัดมหกรรมรวมพลัง SME ไทย (Thailand SME Synergy Expo 2024) ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่แห่งปีสำหรับ SME ไทย เปรียบเสมือน “วัน สต็อป ชอปปิ้ง” สร้างอาชีพ สร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยธุรกิจ โดยภายในงานมีการจัดสัมมนาถ่ายทอดองค์ความรู้รวม 18 หัวข้อ การจัดแสดง จำหน่ายสินค้าและบริการ รวมกว่า 300 คูหา การเจรจาจับคู่ธุรกิจ การแสดงพื้นที่ทำเลการค้าอัตราพิเศษจากหน่วยงานพันธมิตร กว่า 19,000 แห่ง การเสนอสินเชื่ออัตราพิเศษเพื่อ SME รวมมูลค่ากว่า 45,000 ล้านบาท การนำเสนอเทคโนโลยีราคาพิเศษ และนิทรรศการและแนะนำบริการของหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 23 หน่วยงาน
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการปรับใช้การตลาดรูปแบบใหม่ในการส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าไทย โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับทางอาลีบาบา เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบ E-commerce ของไทย โดยจะมีการนำอินฟลูเอนเซอร์ทั้งจากทั่วประเทศไทย และประเทศจีน รวมกว่า 50 ราย มาช่วยขายสินค้าไทย ผ่านช่องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นการเพิ่มโอกาสการกระจายสินค้าของ SME ไทย ไปยังตลาดจีนมากขึ้น เปิดประตูสู่โอกาสทางการค้าใหม่ สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงการดำเนินธุรกิจ SME ในประเทศไทย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 99% ของผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศ ทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 70% ของการจ้างงานทั้งหมด รัฐบาลจึงให้ความสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของ SME ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งฐานรากสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายผลักดันให้ธุรกิจ SME มีมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วน 40% ต่อ GDP ภายในปี 2570 โดยปัจจุบันอยู่ที่ 35.2%
“นายกรัฐมนตรีประเมินกระแสความท้าทายของโลก และมีวิสัยทัศน์ที่ให้ความสำคัญต่อภาคธุรกิจ SME ในฐานะเป็นรากฐานที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งต้องได้รับการส่งเสริมและการสนับสนุนให้เติบโตอย่างสมดุล โดยรัฐบาลเดินหน้าเพิ่มแต้มต่อ ข้อได้เปรียบ พร้อมเสริมทักษะองค์ความรู้ และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถให้กับ SME ไทย โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การดำเนินการของรัฐบาล จะเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนให้ SME ไทยปรับตัวในโลกยุคดิจิทัล บริบทการค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง เป็นอีกหนึ่งรากฐานสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต” นายชัย กล่าว