คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล โชว์ศักยภาพคิดค้นนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน “Go Green with Hygiene Bundle ผู้นำด้านนวัตกรรม ยกระดับสุขอนามัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ตอกย้ำความเป็นเลิศกว่า 150 ปี ด้านนวัตกรรมการยกระดับสุขอนามัยสำหรับภาคธุรกิจองค์กรทั่วโลก

นายจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจองค์กร บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ประเทศไทย จำกัด ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมในการยกระดับสุขอนามัยสำหรับภาคธุรกิจองค์กรมายาวนานกว่า 150 ปี เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจองค์กรให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัยควบคู่ไปกับแนวคิดการรักษ์โลก และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นคิดค้นและพัฒนานวัตกรรม Hygiene Bundle ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย ระบบผลิตภัณฑ์หลัก Scott® CenterPull Bath Tissue และ Scott® AIRFLEX* Rolled Hand Towel ที่โดดเด่นด้านแนวคิดเรื่อง “สุขอนามัยที่มาพร้อมความรักษ์โลก และต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ” สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจากปัจจุบันสู่อนาคตได้อย่างยั่งยืน และ Hygiene Bundle จะถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์หลักเพื่อการขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรในปี 2567 ภายใต้โครงการ “Go Green with Hygiene Bundle ผู้นำด้านนวัตกรรม ยกระดับสุขอนามัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” โดยไทยถือเป็นประเทศที่คิดค้นและพัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการให้โลกใบนี้เป็นโลกที่น่าอยู่จากรุ่นสู่รุ่นสอดคล้องกับปณิธานขององค์กรที่ว่า “Better Care for a Better World”

ทั้งนี้ โครงการ “Go Green with Hygiene Bundle ผู้นำด้านนวัตกรรม ยกระดับสุขอนามัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” นั้น สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อนำเสนอวิสัยทัศน์แห่งผู้นำในการช่วยยกระดับสุขอนามัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ด้วยนวัตกรรม Hygiene Bundle โดยมุ่งเน้นให้ตลาดเกิดการเลือกใช้อย่างชาญฉลาด มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง คำนึงถึงทั้งวงจรการใช้งานผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) ตั้งแต่กระบวนออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการผลิต การส่งมอบ การใช้งาน และการกำจัด อาทิ การออกแบบระบบจ่ายกระดาษทีละแผ่น ลดการสัมผัสก่อนถึงมือผู้ใช้งาน ช่วยเพิ่มสุขอนามัย, การผลิตโดยใช้เทคโนโลยี AIRFLEX* ใช้เยื่อกระดาษน้อยลง แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงกว่ากระดาษทั่วไป รวมไปถึงการเลือกใช้เยื่อกระดาษที่ได้รับรองมาตรฐาน FSC™ และ Green Label ซึ่งมีความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์มีการดำเนินการตามมาตรฐานที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการป่าซึ่งเป็นแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ทำเยื่อกระดาษ ไปจนถึงกระบวนแปรรูปที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อนถึงมือผู้บริโภค เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีการจัดการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและยั่งยืน และโรงงานผลิตที่มีการจัดการ landfill-free ช่วยกันรักษ์โลก นอกจากนี้ระบบจ่ายกระดาษทีละแผ่น ยังช่วยควบคุมการใช้งานเท่าที่จำเป็น จัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดขยะอีกด้วย               


“ต้องยอมรับว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์ด้านสุขอนามัยโดยเฉพาะในกลุ่มกระดาษทิชชู่ มีการแข่งขันกันสูงมาก ดังนั้น คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค จึงเลือกใช้กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง วาง Positioning ใหม่ในตลาด Blue Ocean เพื่อส่งมอบ Value Proposition ตามคำมั่นสัญญาของเรา โดยใช้ Expertise ของทีมงานในทุกภาคส่วน รวมถึงประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกว่า 150 ปี ความน่าเชื่อถือของ Brand ความแข็งแกร่งของตัวแทนจำหน่ายและทีมงานบริการหลังการขาย เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมในการช่วยยกระดับสุขอนามัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปควบคู่กัน” นายจรุง กล่าวถึงกลยุทธ์การสร้างโอกาสทางการตลาดของ คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ประเทศไทย

คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งมั่นสู่การเติบโตแบบยั่งยืน โดยนายจรุงกล่าวถึงนโยบายดังกล่าวว่า บริษัทฯ ยึดมั่นในเรื่อง Sustainability เริ่มตั้งแต่ คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ในระดับ Global โดยมีการกำหนด Ambitions 2030 เป็นเป้าหมายในแต่ละหัวข้อหลักๆ เช่น Carbon Footprint Reduction, Natural Forest Fiber Footprint Reduction และ Plastic Footprint Reduction ที่ต้องบรรลุให้ได้ภายในปี 2030 ล่าสุดมีการประกาศ performance 2023 ในแต่ละมิติ ซึ่งดำเนินการได้เป็นอย่างดีตามแผนที่วางไว้ ประกอบด้วย การลดผลกระทบทางสังคม (Social Impact), การลดคาร์บอนฟุตปรินท์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, เลือกใช้เยื่อกระดาษที่ได้รับรองมาตรฐาน FSC™ และ Green Label, ลดการใช้พลาสติก พัฒนาสู่การนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิล และสามารถย่อยสลายได้ และการพัฒนาและรีไซเคิลน้ำเพื่อการใช้น้ำอย่างยั่งยืน และที่สำคัญคือ มิติด้านการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่โดยบริษัทฯ ได้มีการวางแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์รักษ์โลก

ด้านมุมมองของ คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ต่อกระแสการเลือกใช้นวัตกรรมสินค้ารักษ์โลกของภาคธุรกิจในไทยในปัจจุบันนั้น นายจรุงแสดงความเห็นในส่วนนี้ว่า “กระแสรักษ์โลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งปัจจัยหลักที่เป็นตัวกระตุ้นคือ ปัญหาโลกร้อนที่ใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างชัดเจน กลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจองค์กรให้ความสำคัญในเรื่องสินค้ารักษ์โลกไม่น้อยไปกว่าการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าในระยะยาว คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ต้องการมีส่วนช่วยในการรักษ์โลกอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ตามกระแสรักษ์โลก แต่เราให้ความสำคัญและมุ่งเน้นไปที่การเริ่มลงมือทำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และต่อยอดไปในวงกว้างให้มากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้