ฝ้า กระ จุดด่างดำ ปัญหากวนใจของใครหลาย ๆ คน เพราะเป็นทีต้องใช้เวลาเนิ่นนานในการรักษากว่าจะหาย หรือจางลง โดยเฉพาะฝ้า ที่รักษาให้หายขาดยากที่สุด แต่ปัจจุบันนั้นมีหลากหลายวิธี ที่ช่วยรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำหัตถการในคลินิก หรือการใช้สมุนไพรรักษาฝ้า แต่วิธีที่ง่าย และสะดวกที่สุด ก็คือการใช้ครีมทาฝ้า แต่ปัจจุบันมีครีมทาฝ้าหลากหลายยี่ห้อให้เลือก แล้วเราควรครีมรักษาฝ้าแบบไหนดีนะ ถึงจะสามารถรักษาฝ้าให้หายได้จริง อีกทั้งยังต้องไม่เป็นอันตรายต่อผิวด้วย วันนี้เลยมีวิธีเลือกครีมทาฝ้าอย่างไรให้ปลอดภัย และรักษาฝ้าได้จริงมาฝากกันค่ะ
ส่วนผสมที่ควรมีในครีมทาฝ้า
- Alpha Arbutin : ช่วยให้บริเวณที่มีสีเข้มอย่างฝ้าจางลงได้ แถมยังช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสอีกด้วย เนื่องจาก อัลฟาอาบูติน เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน
- AHA หรือกรดผลไม้ ช่วยลดปัญหาผิวหมองคล้ำ หรือฝ้าได้ เนื่องจากกรดผลไม้สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก และช่วยให้ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ จึงช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้? หากมีผิวบอบบางแพ้ง่ายให้ใช้ทีละน้อย หรือทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้
สารอันตรายที่ควรเลี่ยงในครีมทาฝ้า
-ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส ส่งผลให้ปริมารเม็ดสีลดลง แต่สารเหล่านี้มัก ก่อให้เกิดผลค้างเคียงมากมาย รวมถึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
-สเตียรอยด์ (Steroid) สเตียรอยด์ สามารถยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีเมลานินได้ หากใช้นาน ๆ อาจเกิดอาการติดสเตียรอยได้ควรใช้ ภายใต้การดูแลของแพทย์
วิธีเลือกครีมทาฝ้าอย่างไรให้ปลอดภัย และฝ้าหายได้จริง
ขั้นตอนที่ 1: ทำความเข้าใจประเภทผิวของคุณ
สังเกตลักษณะผิวของว่าเป็นผิวแบบไหน เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวบอบบาง หรือผิวผสม ส่วนประกอบบางอย่างอาจมีประสิทธิภาพหรือเหมาะสมกับประเภทผิวของคุณมากกว่า ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีผิวบอบบางอาจเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีไนอาซินาไมด์มากกว่าสารที่มีความเป็นกรดผลัดเซลล์ผิว
ขั้นตอนที่ 2: ประเมินระดับความรุนแรงของฝ้า กระ
พิจารณาระดับความรุนแรงของปัญหาการเกิดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำ ฝ้า กระที่มีสีอ่อนหรือจุดใหม่อาจตอบสนองได้ดีกับผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่มีส่วนผสมเช่นอาร์บิวตินหรือวิตามินซี ในขณะที่จุดด่างที่รุนแรงหรือแพร่กระจายอาจต้องใช้การรักษาโดยแพทย์
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบส่วนประกอบสำคัญ
มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาปัญหาผิวหน้าคล้ำได้ เช่น ไฮโดรควิโนน โคจิกแอซิด อาร์บิวติน และไนอาซินาไมด์ เรตินอยด์ก็มีประสิทธิภาพแต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผิวหนังเนื่องจากอาจมีผลข้างเคียง
ขั้นตอนที่ 4: เลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้องกันแสงแดด
เนื่องจากแสงแดดสามารถทำให้ฝ้ากระรุนแรงขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ดีหากเลือกครีมที่มีค่าสารป้องกันแสงแดด (SPF) มองหาครีมรักษาฝ้ากระหรือผลิตภัณฑ์เสริมที่มีค่า SPF อยู่ หรือทากันแดดเป็นประจำ
ขั้นตอนที่ 5: ทดสอบบนผิวหนังบริเวณเล็กๆก่อน
ก่อนใช้ครีมใหม่บนบริเวณใบหน้าที่กว้าง ให้ทดสอบบนผิวหนังบริเวณเล็กๆเพื่อดูปฏิกิริยาแพ้หรือการระคายเคืองใดๆ
ขั้นตอนที่ 6: ปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้งาน
ใช้ครีมตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์ โดยปกติวันละหนึ่งถึงสองครั้งบนบริเวณที่เป็นจุดด่างดำ ฝ้า กระ ความสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการเห็นผลลัพธ์ จึงควรปฏิบัติตามโปรแกรมอย่างเคร่งครัด
ขั้นตอนที่ 7: สังเกตการตอบสนองของผิวหนัง
สังเกตการตอบสนองของผิวหนังต่อการรักษา หากมีอาการระคายเคืองหรือไม่พบว่าสีผิวสว่างขึ้น ฝ้ากระลดน้อยลงภายในไม่กี่เดือน ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
วิธีใช้ครีมทาฝ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
1.ถ่ายรูปใบหน้า ก่อน-หลัง ใช้ครีมทาฝ้า เพื่อสังเกตว่าครีมทาฝ้าที่เลือกใช้นั้นมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ฝ้าหายได้จริงหรือไม่
2.ทาครีมทาฝ้าเป็นประจำเช้า-เย็น
3.ควรทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพราะแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้าเพิ่มได้
4.ทานวิตามินควบคู่ไปด้วย อย่างวิตามินเอ, วิตามินซี และ วิตามินอี สามารถช่วยลดเลือนฝ้าได้ เป็นการบำรุงผิวจากภายใน สู่ภายนอก ช่วยให้ผิวแข็งแรงสามารถป้องกันแสงแดดได้ดีขึ้น
5.ใช้สูตรธรรมชาติมากส์หน้าควบคู่ไปด้วย อย่าง ใบบัวบก, หัวไชเท้า, น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล และ มะละกอสุก+น้ำผึ้ง เป็นต้น
ถ้าอยากได้ครีมทาฝ้าที่สามารถรักษาปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้จริง โดยไม่ส่งผลข้างเคียง หรืออันตรายต่อผิวแล้ว ควรดูที่ส่วนผสมเป็นหลัก ว่าควรเลี่ยงสารชนิดใด และควรมีสารอะไรเพื่อช่วยลดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อ้างอิง : https://www.nivea.co.th/advice/luminous630-cure-existing-melasma-and-pre...