“กสม.”หวั่นนโยบายแก้ปัญหายาเสพติด ส่งผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน ซ้ำรอย ปี 46 เสนอให้ใช้มาตรการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติดแทนมาตรการทางกฎหมายในส่วนของผู้เสพ
วันนี้ ( 16 พ.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพราะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ความปลอดภัยของสังคม และเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ แต่การกำหนดนโยบายหรือมาตรการใด ๆ จะต้องคำนึงถึงการลงโทษที่ได้สัดส่วน และต้องมีกรอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐด้วยความชอบธรรม บทเรียนจากนโยบายทำสงครามกับยาเสพติด ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ปี พ.ศ.2546-2547 ส่งผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้าง ทั้งผลกระทบต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน เกียรติยศชื่อเสียง และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
การที่นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการปรับปรุงประกาศ/กฎกระทรวงเพื่อกำหนดปริมาณการครอบครองเมทแอมเฟตามีน โดยให้ถือว่าการครอบครอง 1 เม็ด เป็นผู้ค้าและให้ยึดทรัพย์ได้นั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นว่านโยบายดังกล่าวไม่สอดคล้องกับกฎหมายและทิศทางการแก้ปัญหายาเสพติดในระดับสากล และมีข้อห่วงกังวลว่านโยบายดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง ความผิดฐานเสพยาเสพติด ครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพ ครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย กฎหมายปัจจุบันถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งการที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาใดต้องพิจารณาจากพฤติการณ์และเจตนาของผู้กระทำประกอบ ไม่ใช่จำนวนยาเสพติดที่ครอบครองเพียงอย่างเดียว ดังนั้น นโยบายของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว จึงอาจส่งผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการประกาศสงครามกับยาเสพติดเมื่อปี 2546 การจับกุมดำเนินคดีกับผู้เสพโดยนำตัวไปขังในเรือนจำ ทั้งที่ควรนำไปรับการบำบัดรักษา จะกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งของรัฐ และเป็นตราบาปติดตัวคนเหล่านี้ เพราะจะมีประวัติอาชญากร ทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ กลายเป็นคนพิการทางสังคม และเท่ากับผลักให้พวกเขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งในประเด็นดังกล่าวมีกรณีร้องเรียนมาที่ กสม. ด้วย
กสม. ขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำมาตรการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด (Harm Reduction) มาใช้ในการแก้ปัญหาในส่วนของผู้เสพอย่างจริงจัง โดยสนับสนุนให้ชุมชนและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมดำเนินการ ยึดหลักการผู้เสพคือผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร สนับสนุนให้ชุมชนพัฒนานวัตกรรมการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด เพื่อคืนคนเหล่านี้ให้ชุมชนและสังคมต่อไป