สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ ...*…
10 เมษายนนี้ มีไฮไลท์เศรษฐกิจสำคัญ 2 ประเด็น ที่มีผลโดยตรงต่อเรตติ้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยก่อนลงสนามเลือกตั้งท้องถิ่นแข่งกับพรรคก้าวไกลในปีหน้า …*….
ประเด็นแรกเป็นเรื่องโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง บอกให้รอฟังข้อสรุปที่ชัดเจนในวันที่ 10 เมษายนดังกล่าว ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับแหล่งงบประมาณที่จะนำมาใช้ เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่วัตถุประสงค์หลักของโครงการยังคงเดิม คือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้เต็มศักยภาพ รวมถึงมิได้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของผู้มีสิทธิได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท จำนวนราว 50 ล้านคน และภายในไตรมาส 3 จะเปิดให้ร้านค้าเข้ามาลงทะเบียน และเริ่มใช้เงินดิจิทัลได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยจะมีการพิจารณาเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ลงทะเบียนเข้าร่วมเพื่อสร้างเครือข่ายการใช้จ่าย เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงอีกด้วย …*…
สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้ในโครงการนี้ มีรายงานข่าวว่าเบื้องต้นได้กำหนดไว้ 3 รูปแบบ แยกเป็น 1.การใช้เงินกู้เหมือนเดิมโดยออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2.การใช้งบประมาณจากงบประมาณปี 2567 ด้วยการออก พ.ร.บ.โอนงบประมาณ บวกกับการกู้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2568 และ 3.การใช้แหล่งเงินแบบผสมระหว่างเงินกู้และเงินงบประมาณ …*…
ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีการตั้งข้อสังเกตถึงแผนการคลังระยะปานกลาง หลังจากที่กระทรวงการคลังได้เคยปรับแผนการคลังระยะปานกลางครั้งที่ 1 ไปเมื่อเดือนกันยายน 2566 โดยเพิ่มเงินกู้ไปอีกแสนล้านบาท และเพิ่มประมาณการรายได้อีก 3 หมื่นล้านบาท ทำให้งบประมาณปี 2567 เพิ่มจาก 3.35 ล้านล้านบาทเป็น 3.48 ล้านล้านบาท …*…
ล่าสุด กระทรวงการคลังเตรียมปรับแผนการคลังระยะปานกลางครั้งที่ 2 โดยจประมาณการรายได้ยังคงเท่าเดิม แต่จะเพิ่มวงเงินงบประมาณรายจ่ายจาก 3.6 ล้านล้านบาทเป็น 4.0 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 7.1 แสนล้านบาทเป็น 1.1 ล้านล้านบาท …*…
“การปรับแผนการคลังระยะปานกลางครั้งนี้มีขึ้นเพื่อรองรับนโยบายแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความเป็นมืออาชีพของกระทรวงการคลังที่ปรับแผนการคลังตามความต้องการของนักการเมือง” เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับแผนการคลังเพื่อรองรับการแจกเงินดิจิตอล …*…
มาที่อีกหนึ่งไฮไลท์เศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายนนี้เช่นกันคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นถึงการประชุม กนง.ครั้งนี้ว่าต้องมีการประมวลตัวแปรทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงให้ครบถ้วน เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน …*…
“มีการคาดการณ์กันว่า ปีนี้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง แต่ไม่ทราบว่าจะลดในครั้งใด แต่หากลดในครั้งนี้ ภาคเอกชนก็มีเวลาเตรียมตัว วางแผนได้ ขณะเดียวกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยลด จะนำเงินบางส่วนไปประกอบอาชีพ และลงทุนต่างๆ ได้ ทำให้เศรษฐกิจในปี 67 กลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และมีผลต่อเนื่องไปถึงปี 68 ต่อไป” นายพรชัยระบุ…*…
ส่วนข้อกังวลที่ว่าหากมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะส่งผลต่อหนี้ครัวเรือนของประชาชนหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการคลังมองว่า เกณฑ์การปล่อยสินเชื่อได้ถูกควบคุมไว้อย่างระมัดระวังอยู่แล้ว ฉะนั้น โอกาสที่จะมีการปล่อยสินเชื่อโดยไม่ผ่านกระบวนการที่รัดกุมคงจะไม่ค่อยได้เกิดขึ้นแน่ๆ ดังนั้น สินเชื่อที่มีการปล่อยออกไปจะมีการคุมคุณภาพ แต่โอกาสของคนที่จะได้รับรู้ถึงอัตราดอกเบี้ยต่ำก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาด้วย และหากเป็นผู้ประกอบการก็จะสามารถเตรียมการบริหารต้นทุนได้ และมีการวางแผนขอสินเชื่อ โดยการลดดอกเบี้ย 0.25% จะช่วยสนับสนุนการบริโภคเพิ่มขึ้น 0.15% และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น 0.16%” …*…
เชื่อว่าทั้งการแจกเงินดิจิตอล และปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นเป้าหมายสำคัญที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลต้องผลักดันให้สำเร็จให้ได้ เพราะหวังสร้างเป็นผลงานด้านการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน เพื่อนำไปใช้หาเสียง ต่อกรกับพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งท้องถิ่น …*…
แม้ว่าที่ผ่านมา จะมีการท้วงติงถึงผลกระทบระยะยาวจากการแจกเงินดิจิตอลที่เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ทว่า นาทีนี้ พรรคเพื่อไทยคงให้ความสำคัญไปที่ผลเฉพาะหน้ามากกว่า ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงค่อยว่ากันอีกที ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง …*…
ที่มา:เจ้าพระยา (04/04/67)