วันที่ 26 มี.ค.2567 เวลา 00.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายในช่วงค่ำ เป็นการอภิปรายในกลุ่มที่เหลือ 4 กลุ่มได้แก่ 1. ด้านการศึกษา และสังคม โดยมีสว.อภิปราย ได้แก่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ นางนิสดาร์ก์ เวชยานนท์ นายออน กาจกระโทก นายเฉลา พวงมาลัย 2. ด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้แก่ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม 3.ปัญหาการดำเนินการปฏิรูปประเทศและการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ได้แก่นายอำพล จินดาวัฒนะ 4. ปัญหาด้านการต่างประเทศ และการท่องเที่ยว ได้แก่ นายสุวัฒน์ จิราพันธุ์
จากนั้น หลังให้สมาชิกอภิปรายจนครบแล้ว นายจเด็จ อินสว่าง เป็นผู้กล่าวสรุปการอภิปราย ว่าขอบคุณสว.ที่ร่วมกันทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตตรา 153 ซึ่งเวลา 1 วันอาจจะอาจจะมีการตกหล่นบ้าง ซึ่งตนจะขอเติมเต็ม 3-4 ประเด็น ส่วนเพื่อนสว.วันนี้ได้ทำหน้าที่อย่างสมเกียรติยศ และภาคภูมิใจแล้ว โดยมีการทำการบ้าน ศึกษาค้นคว้าข้อมูลมาเป็นเดือน มีหลายประเด็นที่คณะรัฐมนตรีได้รับฟังแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องยนต์ที่มีปัญหาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเพื่อนสว.ได้ถามปัญหาเศรษฐกิจ 9 ข้อ แต่ท่านก็ยังไม่ได้ตอบเลยตลอดจนเรื่องการแปลงที่สปก.เป็นโฉนด ซึ่งเป็นการผิดเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสุ่มเสี่ยงกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้นขอให้กรุณาไปดูด้วย รวมถึงเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีความเสี่ยงการปฏิบัติหน้าที่ผิดกฎหมายทั้งพ.ร.บ.การเงินการคลัง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐธรรมนูญ เงินนั้นเป็นเงินหาเสียงหรือ เงินที่ใช้ตามรัฐธรรมนูญ เป็นข้อความที่ท่านต้องพึงระลึก
นายจเด็จ กล่าวว่า สำหรับ 3- 4 เรื่องที่ตนจะเติมเต็ม คือ 1. การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่รัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีในเรื่องของพระราชกำหนดว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพราะมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนทุก หย่อมหญ้าเฉลี่ยวันละ 1,000 คน ค่าเสียหายวันละประมาณ 100 ล้านบาท ต้องการถูกหลอกข่าวปลอมค้าขายออนไลน์เดือนละ 3,000 ล้าน ปีละ 4 หมื่นล้าน ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นแสนล้าน ซึ่งที่ผ่านมารมว.ดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม มีการให้ข้อมูลและอธิบายต่อกรรมาธิกาเทคโนโลยีสารสนเทศและการโทรคมนาคม ก็ทราบถึงการเอาใจใส่ แต่นั่นยังไม่พอ ซึ่งนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการทางด้านดิจิทัล ยังไม่เคยพูดสักคำใน 7 เดือนของการเป็นนายกฯ ว่าจะหาทางแก้ไขอย่างไร เรื่องนี้ 2. การส่งเสริมการท่องเที่ยว นายกฯ ไม่ได้เป็นเซลล์แมนของประเทศแต่เป็นซีอีโอของประเทศ เป็นผู้นำทางด้านการบริหารหมายเลข 1 ของประเทศ ที่ริเริ่มเรื่องฟรีวีซ่า ส่งผลคนมีเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมาก แต่ลืมไปว่าควรจะมีการคัดกรองลงทะเบียนล่วงหน้า ดังนั้น แม้จะยกเลิกการลงทะเบียนตามตม 6 ก็จริงแต่ต้องมีการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อคัดกรองป้องกันการก่ออาชญากรรม ความรุนแรง ซึ่งเหตุการณ์ที่รัสเซีย ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการขาดการคัดกรอง จึงฝากนายกฯ และ รมวท่องเที่ยวและกีฬา ดูแลด้วย
3. การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกระบวนการพูดคุย เพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นขอฝากนายกฯ ในฐานะดูแลสภาพความมั่นคงแห่งชาติและรมว.กลาโหมว่า ขอให้มีการจัดพื้นที่ปลอดภัยขึ้นด้วย รวมถึงการพูดคุยต้องใช้ 3 ภาษา คือ ภาษาบาฮามาสมาเลย์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ซึ่งตอนนี้แง้มออกมาว่าออกมา 2 ภาษา ถ้าไม่มีภาษาบาฮามาส มาเลย์จะไม่มีความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น และ 4. ตนไม่อยากก้าวล่วงเรื่องส่วนตัวนายกฯ ตนรู้ว่านายกฯ แสดงออกเพื่อให้คนมั่นใจในการทำงานของนายกฯ แต่ไม่ใช่เรื่องการใส่ถุงเท้าคนละสีสลับกันไปมา ซึ่งปัจจุบันทำน้อยลงแล้ว แต่ถ้าเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ธรรมดา ตนจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่วันนี้เป็นนางเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ของประเทศไทย ที่แบกเอาความเป็นประเทศไทยไปด้วยทุกที่ ความเป็นส่วนตัวของท่านอนุญาตให้เพียง 2 ที่เท่านั้นคือห้องนอนกับห้องน้ำ นอกนั้นไม่มีความเป็นส่วนตัว เพราะเป็นบุคคลสาธารณะ ดังนั้นขอให้นายกฯ กรุณาว่าจะใส่ถุงเท้าสีอะไรก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถ้าใส่หลายสี ใส่รองเท้าบ้าง ถอดรองเท้าบ้างระหว่างประชุมเป็นเรื่องไม่ดี
“วันนี้สวได้ทำหน้าที่อย่างส่งภาคภูมิแล้วสามารถตอบ ประชาชนได้แล้วว่ามีสว. ไว้ อะไร เราได้ทำหน้าที่สมกับที่เราได้ปฏิญาณตนเอาไว้แล้วว่า จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ คณะรัฐมนตรีก็ต้องปฏิญาณตน ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนที่จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ แล้วคุณสมบัติ ความเป็นนายกฯ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของความเป็นรัฐมนตรีด้วยข้อหนึ่งที่สำคัญ คือต้องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพราะฉะนั้นท่านจะทำกิจกรรมใดๆ นโยบายใดๆ ขอให้พึงระลึกในเรื่องคำปฏิญาณตนไว้ให้จงหนัก" นายจเด็จ กล่าว และว่า ขอบคุณนายกฯ และคณะรัฐมนตรีที่มาร่วมตอบข้อซักถาม และการที่รับข้อเสนอแนะไปปฏิบัติเมื่อดำเนินการแล้วขอให้แจ้งต่อเพื่อนสว.หรือสภาแห่งนี้รับทราบไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อ ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ
ขณะที่ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมวสาธารณสุข และนายประเสริฐ จันทรวงทอง รมว. ดิจิทัล เศรษฐกิจ และสังคม และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมวพาณิชย์ กล่าวขอบคุณ โดยนพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอบคุณที่ใช้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ถ้าเราได้แต่แหล่งข้อเท็จจริงหรือชี้แจงการบริหารราชการแผ่นดิน ดังที่ทุกคนให้อภิปราย เป็นข้อซักถามข้อเสนอ พร้อมชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นทางด้านสาธารณสุขที่มีการซักถาม
ด้าน นายประเสริฐ กล่าวชี้แจงตอนหนึ่งว่า ขอชี้แจงกรณีข้อกล่าวหาว่านายกฯ ไม่ได้ใส่ใจแก้ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา ว่าไม่เป็นความจริง เพราะตลอดระยะเวลานายกฯ ได้สนใจ และเรียกตนมาสั่งการทุกสัปดาห์ เรียกประธานกสทช.เข้ามาดูแลเรื่องการจัดการเรื่องซิมม้า และ การคุกคามทางไซเบอร์ ส่วนเรื่องที่สว.ห่วงใยเกี่ยวกับดิจิทัล ID ดิจิทัล payment และภัยคุกคาม ทางดิจิตอล ตนขอรับข้อเสนอแนะไปดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในการแก้ไขปัญหา เรื่องนี้และการพัฒนาด้าน ดิจิตอลต่อไปในอนาคต
นายภูมิธรรม กล่าวว่า กราบขอบพระคุณสว.ตลอด 16 ชั่วโมงที่ทำงานร่วมกันซึ่งมี ทั้งข้อท้วงติง ข้อห่วงใย ข้อเสนอแนะให้เรานำกลับไปทบทวน ซึ่งรัฐบาลรับเป็นข้อเสนอและความเห็นที่ปรารถนาดีและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างดียิ่ง หลายคนยังไม่ได้พูด หลายคนพูดยังไม่ครบ อย่างไรก็ตามเราไม่ได้มีแค่วันอภิปรายเพื่อเสนอแนะความเห็นเท่านั้น แต่หลังจากนี้เรายังมีเวลาที่สามารถต่อสาย พูดคุยทำงานร่วมกันได้ต่อไป สุดท้ายขอยืนยันว่า รัฐบาลนี้ยึดมั่นในเจตจำนงของพี่น้องประชาชน ยึดมั่นในประชาธิปไตย และเชื่อในความคิดเห็นที่แตกต่างก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมประชาธิปไตย เราเคารพในสิทธิเสรีภาพและเคารพความเป็นมนุษย์ของทุกคน เราพร้อมจะร่วมมือกับทุกพรรค ทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาของประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ซึ่งเรารู้ดีกันอยู่ จากวันนี้เป็นต้นไปเราต้องช่วยกันทำงาน
พล.อ.สิงห์ศึก กล่าวปิดการประชุมในเวลา 00.30 น.น. รวมเวลาอภิปรายทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง