วันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมให้ความรู้แก่สื่อมวลชนในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พร้อมทั้งพบปะพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางและการบูรณาการความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเลือก สว.

นายอิทธิพร กล่าวตอนหนึ่งว่า การเลือก สว.ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2560 เคยเลือกสว.มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2561 แต่ตอนนั้นเป็นการเลือกตามแบบบทเฉพาะกาล ซึ่งเป็นการเลือกกันเองรอบเดียว และเป็นการเลือกเฉพาะ 10 กลุ่มอาชีพ ยุบรวมมาจาก 20 กลุ่มอาชีพ แต่ครั้งนี้จะเป็นการเลือก สว. เต็มรูปแบบที่พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.กำหนดไว้ ซึ่งเป็นการเลือกกันเอง โดยผู้สมัครด้วยตนเอง จำนวน  3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัดและระดับประเทศ

นายอิทธิพร กล่าวต่อว่า ขอเชิญชวนผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนให้มาสมัครเป็นสว. เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงในกระบวนการและสว. ครั้งนี้ โดยวาระของสว.ชุดปัจจุบัน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม  2567 และเมื่อไรก็ตามที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสว. อีก 15 วันหลังจากนั้น จะมีการรับสมัครสว.เป็นเวลา 5 วัน ต่อด้วยอีก 5 วันจะเป็นการประกาศรายชื่อผู้สมัคร และหลังจากปิดการรับสมัครไม่เกิน 20 วัน จะต้องจัดให้มีการเลือกระดับอำเภอ จากนั้นอีก 7 วันจัดให้มีการเลือกระดับจังหวัด ต่อจากนั้นอีก 10 วันถึงจะเลือกให้เลือกระดับประเทศ  จึงคาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนกรกฎาคม  เมื่อรู้ผลแล้วกฎหมายบอกว่าให้กกต.รอไว้ก่อน 5 วัน เผื่อมีประเด็นอะไรต่างๆที่จะต้องทบทวน แล้วจึงประกาศผล

ทั้งนี้ ฝากผู้สมัครว่ากรุณาศึกษาและตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัครให้ดีๆและสำรวจตัวเองว่ามีความรู้ความเชี่ยวชาญประสบการณ์อาชีพ และความกลุ่มอาชีพใด เพราะมีกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการสมัครให้ถูกกลุ่ม และศึกษารูปแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและบทกำหนดโทษ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. ซึ่งมีการออกระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 แก้ไขรองรับออกมาแล้ว และหากมีข้อสงสัยต้องการข้อมูล สามารถสอบถามได้ จากสำนักงานกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดต่างๆ สายด่วนกกต. 1444 หรือ Application Smartvote

นายอิทธิพร กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นป้องกันและปราบปรามการทุจริต กฎหมายระบุว่ากกต. จะต้องแต่งตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบ 1.การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการเลือกว่าปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องหรือไม่  2.มีการกระทำใดที่มีการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.หรือไม่  และ 3. มีการกระทำใดที่ทำให้การเลือกสว.ไม่ทุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ โดยจะได้รับการสนับสนุน ชุดปฏิบัติการข่าว และชุดเคลื่อนที่เร็ว หากพบการกระทำความผิดสามารถแจ้งไปที่กกต.จังหวัดต่างๆหรือแอพพลิเคชั่นตาสับปะรดได้

นอกจากนี้หากบุคคลใดที่สามารถแจ้งเบาะ แสอันนำไปสู่การกระทำที่ไม่ทุจริต และเที่ยงธรรม มีสิทธิ์ได้รับเงินรางวัลตามระเบียบของกกต.ว่าด้วยการให้เงินรางวัลแก่ผู้ชี้เบาะแส โดยรางวัลจะเป็นไปตามลำดับขั้นว่าเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดีอย่างไร มีจำนวนสูงสุดคือ 1 ล้านบาท

นายอิทธิพร กล่าวต่อว่า การเลือกสว.ครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้สมัครประมาณ 100,000 คน เมื่อทำการเลือกในระดับอำเภอ อำเภอหนึ่งแต่ละกลุ่มจะมีผู้ได้รับเลือกคะแนนสูงสุด 3 คน 1 อำเภอ 20 กลุ่ม เป็น 60 คน โดยอำเภอทั่วประเทศ คือ 928 อำเภอ เมื่อรวมแล้วจะมี 55,680 คน โดยทั้งหมดจะเข้าสู่กระบวนการเลือกระดับจังหวัด เพื่อเลือกผู้ได้รับคะแนนสูงสุด 2 คนลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม เป็นผู้ที่ได้รับเลือกไปสู่การเลือกระดับประเทศ รวม 3,080 คน จากนั้นการเลือกระดับประเทศจะเหลือ 200 คน จำนวน 20 กลุ่มๆละ 10 คน

นายอิทธิพร กล่าวถึงการประมาณตัวเลขผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นส.ว.  1 แสนคน ว่า เป็นตัวเลขประมาณการในเบื้องต้นของกกต.ว่าในการเลือกสว.ในครั้งนี้จะมีผู้สมัครไม่น้อยกว่านี้ แต่หากมีตัวเลขมากกว่านี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะประชาชนที่สนใจสามารถสมัครได้และถึงเวลาก็ไปเลือกกันเองกับกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ยิ่งหากมีจำนวนมาก ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งขณะนี้ได้แจ้งไปยังกกต.จังหวัดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าหากประชาชนสนใจจะลงสมัคร สามารถสอบถามขั้นตอนและข้อมูลได้ที่ กกต.จัง หวัด ถือเป็นความพยายามประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนที่สนใจ

ส่วนกรณีที่สถาบันการสร้างชาติให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเลือกสว.นั้น ประธานกกต. กล่าวว่า ไม่ได้มีกฎหมายห้าม ดังนั้นหากเป็นการจัดการอบรม เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจ น่าจะเป็นส่วนที่ดี เพราะจะช่วยส่งเสริมเผยแพร่ความสำคัญของการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสว.

เมื่อถามว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นการสร้างเครือข่ายเพื่อบล็อกโหวต หรือล็อบบี้กันหรือไม่ ประธานกกต. กล่าวว่า ตอนนี้ยังคงพูดแบบนั้นไม่ได้ เพราะเป็นการประกาศประกาศมาว่าจะมีการอบรม ซึ่งตนไม่แน่ใจว่ามีการอบรมไปแล้วหรือไม่ และมีการประกาศจัดในที่สาธารณะ จึงคิดว่าน่ามองตามข้อเท็จจริงไปก่อน

สำหรับกรณีที่เริ่มมีการเปิดตัวจากผู้มีชื่อเสียงว่าจะลงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสว.และรณรงค์ประชาสัมพันธ์ตัวเองแล้ว สามารถทำได้หรือไม่ นายอิทธิพล กล่าวว่า ก็ทำได้ เพราะเป็นเรื่องปกติที่แสดงความสนใจ ก็บอกได้ ไม่มีใครห้าม โดยกระบวนการรับสมัครจะมีขึ้น 15 วันหลังจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการเลือก สว. ดังนั้นช่วงนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของทุกฝ่าย รวมถึงประชาชนที่สนใจลงสมัครด้วย เพราะวาระของ สว.ชุดนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 11 พ.ค.  ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่นาน และกระบวนการเลือกสว.ก็จะมีขึ้นหลังจากนั้นไม่เกิน 60 วัน ฉะนั้นการให้ความรู้ การสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชน ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี

ประธาน กกต. กล่าวว่า ในช่วงนี้ยังไม่มีข้อระวังอะไร เพราะยังไม่เกิดอะไรที่พึงระวัง และต้องค่อย ๆ ดูข้อเท็จจริง เพราะกกต.มีหน้าที่ตามกฎหมาย ทำให้การคัดเลือกสว.เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม ดังนั้นการที่จะคิดอะไรไปก่อน โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริง เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

เมื่อถามว่ามีความพยายามที่จะทำให้ผู้สมัครเป็นที่เข้าใจว่ามีพรรคการเมืองหนุนหลัง ถือเป็นความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า มาตรา 77ได้กำหนดโทษเอาไว้แล้ว ส่วนจะนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ ทั้งนี้เห็นชัดแล้วว่าเป็นการเลือกตั้งโดยประชาชน ซึ่งเหตุที่จัดให้มีการเลือกโดยประชาชนเพราะเคยมีการจัดให้มีการเลือกตั้งแล้วมีการอิงกับพรรคการเมือง และมีการใช้หัวคะแนน ดังนั้น อะไรก็ตามที่ไม่เป็นการดำเนินการสมัครหรือดำเนินการสมัครด้วยตัวเอง ก็ถือว่าเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย

ส่วนผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรคการเมืองจะสามารถลงสมัครได้จะต้องเว้นวรรค 5 ปีหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ต้องเว้นวรรค 5 ปี แต่อดีตสว.ที่จะรวมตัวกันจะส่งผู้สมัคร ไม่สามารถทำได้ เพราะเฉพาะสว.เองก็ลงสมัครไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งการรวมตัวจะยิ่งถือว่าไม่เป็นอิสระและพ.ร.ป.การได้มาซึ่งสว.ที่จัดให้มีการเลือกในระบบนี้เป็นครั้งแรกก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงจากพรรคการเมือง ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เข้ามาแทรกแซง ก็เสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย

เมื่อถามว่าคณะก้าวหน้าที่ดำเนินการในเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นสามารถมีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็น สว.หรือไม่ ประธาน กกต. ย้ำว่า ไม่สามารถยึดโยงกันได้ เพราะเป็นการให้ประชาชนผู้สนใจมาสมัคร จึงขอให้ยึดมั่นในคำนี้ ขณะที่การตรวจสอบของกกต.นั้นไม่จำเป็นต้องมีผู้มายื่นคำร้อง หากมีข้อเท็จจริงว่ากระทำการที่เข้าข่ายหรืออาจจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย กกต.สามารถตั้งเรื่องตรวจสอบเองได้

เมื่อถามย้ำว่าการเลือกสว.ที่ผ่านมา กกต.ตั้งเป้าผู้สมัคร 1 แสนคน แต่มาจริงแค่ 7,000 คน ดังนั้นกกต.จะมีนโยบายดำเนินการอย่างไรให้เป็นไปตามเป้านั้น นายอิทธิพร กล่าวว่า ตอนนั้นตนพูดเองว่าจะมีผู้สมัคร 1แสนคนโดยคำนวณจากพื้นฐานวิธีการสมัครและผลที่จะได้จากแต่ละอำเภอกลุ่มละ 3 คน แต่ข้อเท็จจริงที่ออกมาพบว่าผู้สมัครไม่เยอะ ไม่เป็นที่น่าสนใจ ไม่น่าตื่นเต้น แต่ขณะนี้ที่ตั้งเป้าตัวเลข 1แสนคนเพราะเป็นการเลือกเต็มรูปแบบ ไม่ใช่บทเฉพาะกาล โดยผู้ที่ได้รับเลือกก็จะได้รับเลือกเลย แตกต่างจากปี 2561 ที่เลือกเพียงรอบเดียว เมื่อได้ 200รายชื่อในระดับจังหวัดต้องส่งให้คสช.เลือกอีก 50 คน ดังนั้นปัจจัยการเลือกตั้งที่แล้วกับครั้งนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงหวังว่าตัวเลขที่ 1แสนคนไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ทั้งนี้การเลือกสว.ครั้งนี้ยังมีข้อห้ามหาเสียงเช่นเดิม

ส่วนที่อดีตเลขาฯกกต.ยืนยันว่าการเลือกตั้ง สว.ปี 2561 เป็นการเลือกที่เงียบที่สุดในโลก ครั้งนี้จะเป็นเช่นเดิมหรือไม่นั้น นายอิทธิพร กล่าวว่าครั้งที่แล้วไม่ได้เงียบที่สุดในโลก ถ้าเราจะพูดว่าเงียบที่สุดในโลก เราก็ต้องทราบว่าในโลกนี้มีการเลือกสว.ที่เงียบกว่าเราหรือไม่ แต่จริง ๆแล้วกกต.ก็พยายามไปประโคมข่าวและประชาสัมพันธ์ให้มากที่สุด แต่ความสนใจของประชาชน ณ ขณะนั้นมีไม่เยอะเท่าที่เราคาดการณ์ไว้