RML ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ในไทย ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน 3,588 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 4,172 ล้านบาท เป็น 7,760 ล้านบาท รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มผลกำไรอย่างต่อเนื่อง

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน)หรือ RML เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัทฯ ครั้งที่ 1/2567 และวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2567 ได้มีมติอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทขึ้นอีกจำนวน 3,588 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,172 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 7,760 ล้านบาท  

สำหรับการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 3,588 ล้านบาทนี้ ได้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเป็น 2 ส่วน หุ้นเพิ่มทุนส่วนแรก เสนอขายให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) โดยจัดสรรให้ 2 บุคคลคือ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช และนายพาที สารสิน จำนวน 2,522 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.42 บาทต่อหุ้น และหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่ 2 เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering : RO) จำนวน 714 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.42 บาท ในอัตรา 9.38 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ โดยจะมีการออกรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทครั้งที่ 1 (RML-W1) รวมทั้งออกรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัท และบริษัทย่อย (โครงการ RML ESOP WARRANT ครั้งที่ 1) มีราคาใช้สิทธิหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเงินที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้จะเป็นจำนวนไม่เกิน 1,711 ล้านบาท ทั้งนี้การเพิ่มทุนจดทะเบียนดังกล่าวได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทฯ เรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อไปเป็นการเสนอในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 22 มีนาคม 2567

“ในนามของบริษัทฯ ขอขอบคุณอย่างจริงใจต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกรายที่สนับสนุนทำให้การเพิ่มทุนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในทิศทางธุรกิจของ RML ซึ่งการที่บริษัทเสนอขายหุ้นให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) เป็นการรับประกันความสำเร็จในการเพิ่มทุนในครั้งนี้ และการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering : RO)  เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านมีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้ได้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับคุณพาที สารสิน ซึ่งจะเข้ามาถือหุ้นของบริษัท และดำรงตำแหน่งกรรมการ  มีผลตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป คุณพาทีจะมีบทบาทสำคัญในการขยายฐานการลงทุนและพัฒนาโครงการของบริษัทให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยขยายไปยังอสังหาริมทรัพย์กลุ่มโรงแรมและการบริการ อาทิ โครงการ Branded Residences และโรงแรม ในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศอาทิ พัทยา และภูเก็ต เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปี 2567 ทั้งนี้ด้วยความสามารถของคุณพาทีที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจการบินและการท่องเที่ยว ประกอบกับความเป็นผู้นำที่มีความมุ่งมั่นและมีผลงานโดดเด่นจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เติบโตขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้านผู้นำอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ชั้นนำของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน” นายกรณ์ กล่าวเสริม

สำหรับการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเกื้อหนุนการเติบโตของบริษัทฯในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นเงินทุนที่มากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจ โดยในอนาคตบริษัทมีความตั้งใจที่อยากจะก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเป็น Real Estate Financial Platform เปิดโอกาสให้มีการร่วมลงทุนจากกลุ่มกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ RML ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 36 ปี พัฒนาโครงการมาแล้วรวมมูลค่าทุกโครงการทั้งสิ้นกว่า 150,000 ล้านบาท จำนวนยูนิตทั้งหมด 5,600 ยูนิต หรือคิดเป็นพื้นที่รวมแล้วกว่า 1 ล้านกว่า ตร.ม.ทุกโครงการปิดการขายทั้งหมด ยอดขายลูกค้าชาวต่างชาติเต็มโควต้า ประกอบกับทีมงานคุณภาพที่สามารถพัฒนาโครงการผ่านการวางแผนกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด และการขาย รวมถึงการมีพันธมิตรในระดับนานาชาติในทุกมิติที่เกี่ยวข้องจะทำให้การขยายการลงทุนในรูปแบบของ Platform นี้ของบริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจไปในตลาดที่มีโอกาสมากขึ้นเช่น การลงทุนในรูปแบบ International Portfolios ที่มีผลตอบแทนสูงและสามารถรับรู้ผลกำไรได้ทันที โดยในเบื้องต้นมีกองทุนและนักลงทุนแสดงความสนใจใน Business Model นี้เป็นจำนวนมาก และทางบริษัทมีความมั่นใจว่า Real Estate Financial Platform นี้จะเป็นจุดเปลี่ยน (Game Changer) ที่จะนำพาให้บริษัทพร้อมเทิร์นอะราวด์ พลิกกลับมาแสดงผลกำไรภายในปี 2567

ขณะที่แผนธุรกิจในปี 2567 บริษัทจะเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยมีการบริหารเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นกลยุทธ์ Asset light strategy ที่บริษัทจะพัฒนาโครงการร่วมกับเจ้าของที่ดิน ทำให้ไม่ต้องสต็อกที่ดิน ซึ่งจะช่วยทำให้ประหยัดต้นทุนในการซื้อที่ดินมากขึ้นและสามารถขยายโครงการได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทยังเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ เพื่อรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับสูง โดยเตรียมเปิดขายโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ 3 โครงการ บน 3 ทำเล รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 16,000 ล้านบาทได้แก่ โครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ ใจกลางสุขุมวิท มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 400-700 ล้านบาทต่อหลัง และโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรูปแบบ Branded Villa  ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ บนอ่าวกมลา ที่ภูเก็ต ราคาขายเฉลี่ย 600-1,000 ล้านบาทต่อหลัง รวมทั้งโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรักษากระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดตั้งกองทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) เพื่อเป็นเจ้าของและดำเนินการ โครงการอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอย่าง ‘โอซีซี’ (One City Centre) ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 61,000 ตารางเมตร ที่ในปัจจุบันถือเป็นสุดยอดโครงการอาคารสำนักงานของประเทศไทยที่เป็นที่สุดในทุกมิติบนทำเล CBD เพลินจิต ติดสถานีบีทีเอสเพลินจิต และมีสะพานเชื่อมต่อจากอาคารสู่สถานีบีทีเอส ถนนวิทยุ และ Central Embassy ได้ตรง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก  ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้ารวมประมาณ 70% ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นที่รู้จักในไทย มีบริษัทที่สามารถเปิดเผยชื่อได้อาทิ เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก,  ธนาคาร บีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก,อมาเดอุส เอเชีย บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวระดับโลก, รวมไปถึงมารูเบนิ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจหลากหลายครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมหลัก และอีกหลายบริษัทในเครือมิตซูบิชิ กรุ๊ป อีกกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่า ‘โอซีซี’ เป็นอาคารสำนักงานที่บริษัทระดับโลกเชื่อถือและไว้วางใจมากมาย ดังนั้น ด้วยการจัดกองทุน Private Equity Trust (PE Trust) จะทำให้นักลงทุนสามารถมีส่วนร่วมในกองทุนนี้ได้นี้ เพื่อให้โครงการมีการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมที่สุดและให้ผลตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นของของบริษัท