วันที่ 6 ก.พ.2567 เวลา 14.30 น.ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่เป็น 1ใน สส. 44 คน ของพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อปี 2564 ว่า ต้องหารือกัน จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เนื่องจากตนเองก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคชุดนั้นจริงๆ และเป็นผู้เห็นด้วยกับนโยบายหาเสียงดังกล่าว เรื่องในอดีตตนก็มีส่วนรับผิด และรับผิดชอบ ดังนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ถ้าจะมีการเรียกไต่สวนหรือเรียกพยานก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ชี้แจงสม่ำเสมอ ทั้งการนำเสนอนโยบายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แคมเปญต่างๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน พูดไปตามข้อเท็จจริง และไม่กังวลว่าจะกระทบกับตำแหน่งของตนเองในอนาคต

“เรื่องนี้ผมกังวลว่าจะกระทบสิทธิเสรีภาพของฝ่ายนิติบัญญัติมากกว่า เพราะตอนนี้ฝ่ายนิติบัญญัติกลับมีองค์กรอื่นมากำหนดว่า สส.ทำอะไรได้หรือไม่ได้ เสนอกฎหมายได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ผมยืนยันว่านี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับผม ไม่ใช่ว่าผมจะอยู่ในตำแหน่งได้นานเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องว่าประเทศไทยของเรายังไม่หลุดพ้นจากอำนาจที่อาจจะอยู่เหนือหรือล้ำรัฐธรรมนูญ

ในระยะสั้นเชื่อว่าสังคมจะเกิดคำถามต่อกระบวนการพิจารณาขององค์กรอิสระ ว่ามีความยุติธรรมและเป็นไปตามจริยธรรมที่ถูกต้องขององค์กรหรือไม่ และยังห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องใหม่ในสังคมที่ไม่เคยเจอมาก่อน หากคำตัดสินไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ นักวิชาการจำนวนมากก็มองว่าจะเป็นการใช้อำนาจเกินไปหรือไม่” นายปดิพัทธ์ กล่าว

นายปดิพัทธ์ กล่าวอีกวา ส่วนในระยะยาวเรื่องบทบาทขององค์กรอิสระต่างๆ ที่แม้จะเริ่มมีต้นกำเนิดจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็มีผลพวงมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่ต้องมีการทบทวนอย่างหนักถึงบทบาทหน้าที่ขององค์กรอิสระในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะไม่เคยได้รับการประเมินอย่างตรงไปตรงมาถึงความจำเป็นที่จะมีอยู่หรือไม่มีในอนาคต รวมถึงรูปแบบการทำงานและอำนาจหน้าที่ ยืนยันว่ากรณีนี้เป็นเรื่องที่อำนาจนิติบัญญัติโดนดูถูก และตกต่ำ เพราะหาก สส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชน จะเสนอกฎหมายทุกเรื่องต้องถามศาลก่อน ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามหลักการ และแม้แต่คนในกระบวนการยุติธรรมเอง ถ้าทำผิดก็ควรต้องมีกระบวนการเอาผิดได้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีอำนาจล้นเกินของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

เมื่อถามว่าการแก้รัฐธรรมนูญควรจะจัดสมดุลอำนาจอย่างไร นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยว่านิติบัญญัติจะสามารถเป็นเอกเทศได้โดยไร้การตรวจสอบ แต่ผู้ตรวจสอบเองกลับไม่มีใครไปตรวจสอบเขา และยังมองว่า อำนาจนิติบัญญัติตกต่ำที่สุด ใน 3 อำนาจ คือบริหาร และตุลาการ จึงคิดว่าต้องกลับมาจัดสมดุลอำนาจใหม่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่