สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้อง เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคม ด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…
ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้ ไม่ได้มีแต่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ยังมีเรื่องความมั่นคง โดยเฉพาะใน3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง …*…
นับแต่ไฟใต้ปะทุขึ้นรอบใหม่ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ได้ยืดเยื้อเรื้อรังมาเป็นเวลายาวนานถึงยี่สิบปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าสงบยุติลง ทั้งที่มีการใช้งบประมาณ มากมายหลายแสนล้านบาท ในการดูแลแก้ไขสถานการณ์ ก็ยังเกิดเหตุการณ์ไม่สงบมาตลอดนับหมื่นครั้ง มีผู้เสียชีวิตกว่า 4 พันราย และบาดเจ็บเป็นหมื่นราย …*…
แม้ขณะนี้ การก่อเหตุความรุนแรง จะแลดูเหมือนทุเลาเบาบางลง กระนั้น ไม่ได้หมายความว่า ขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดนจะยินยอมรามือ หากแต่ได้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบการเคลื่อนไหวใหม่ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบไม่น้อยไปกว่าการใช้อาวุธเลย …*…
ทั้งนี้ ผู้เขียน คอลัมน์ตีโฉบฉวย ใน นสพ.สยามรัฐ ฉบับประจำวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านมา ได้ส่ง สัญญาณเตือนดังๆ ไปถึง ผู้เกี่ยวข้องว่า ปัจจุบันขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดนได้มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การต่อสู้แบบคู่ขนานที่ใช้ทั้งการก่อเหตุร้ายรายวัน เพื่อสร้างบรรยากาศของความไม่สงบโดยชนพื้นถิ่นเพื่อสื่อไปถึงประชาคมโลกให้เข้ามาสนับสนุนการแยกตนเองเป็นอิสระในการปกครองกันเองในที่สุด ควบคู่กับการต่อสู้ทางความคิดด้วยการสร้างฐานแนวร่วมมวลชนให้เข้มข้น เป็นระบบและแพร่กระจายไปในวงกว้างทั้งในพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้และต่อขยายไปสู่พื้นที่อื่นทั่วทุกพื้นที่ของรัฐโดยเฉพาะกลุ่มคนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐแห่งนี้และเป็นแหล่งที่อยู่ของคนระดับนำของรัฐในทุกภาคส่วนทั้งนักวิชาการและภาคประชาสังคม รวมทั้งคนที่มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายระดับชาติอย่างแท้จริง …*…
เห็นได้ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดห้วงตั้งแต่ขบวนการแห่งนี้ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปเป็นการต่อสู้ทางความคิด ด้วยการขับเคลื่อนการต่อสู้ระดับชาติจึงถูกร้อยเรียงต่อกันอย่างกลมกลื่นด้วยการต่อสู้ที่แทรกปนไปกับแนวคิดของอิสรภาพในหลากหลายรูปแบบ อาทิ อิสรภาพ เสรีภาพในการแต่งกายชุดมลายูที่แอบซ่อนความหมายของการต่อสู้ให้เกิดการยอมรับวิถีชีวิตของคนพื้นถิ่นในระดับชาติ รวมทั้งเพื่อเป้าหมายการต่อสู้ให้สังคมประเทศได้ยอมรับในอัตลักษณ์ของคนในพื้นถิ่นที่ปรากฏให้เห็นทางการแต่งกายในชัดมลายูในหลากหลายโอกาสโดยเฉพาะในรัฐสภาซึ่งเป็นเวทีการต่อสู้ทางความคิดระดับชาติบนเวทีการเมืองที่สำคัญยิ่ง …*…
เมื่อกลางเดือนมกราคม นักการเมืองแบบบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองหนึ่ง ได้แต่งกายด้วยชุดมลายูเข้าสภา และได้ขออภิปรายต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ความตอนหนึ่งว่า ความย้อนแย้งคือเรากำลังสร้างสันติภาพแบบยั่งยืน แต่ว่าการบังคับใช้กฎหมาย การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำต่อนักกิจกรรม กลุ่มที่ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และแสดงออกสิทธิพลเมืองการเมือง กลับโดนหมายเรียก ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ถูกหมายเรียกเหล่านั้นเป็นกรณีอื่นที่คนกลุ่มนั้นเคยกระทำมา หาใช่เรื่องการแต่งกายไม่ หากแต่เป็นข้อกล่าวหาในคดีความมั่นคงที่กลุ่มคนดังกล่าวอาจมีความเกี่ยวข้อง และปรากฏการณ์ดังกล่าวสอดรับกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักกิจกรรมจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันเดียวกัน ที่ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องที่อาคารรัฐสภา ในขณะที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เคยออกมาชี้แจงแล้วว่า นายซาฮารี จากเพจชมรมพ่อบ้านใจกล้าเพื่อรับระดมเงินบริจาคนั้นไม่ได้ถูกดำเนินคดีเรื่องเปิดบัญชีระดมทุนช่วยเหลือครอบครัวผู้ที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม หรือเสียชีวิตจากการยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ เพราะไม่ใช่การกระทำผิดกฎหมาย แต่ถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง และกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นักกิจกรรมที่จัดรวมตัวชุมนุมแต่งชุดมลายู ก็ไม่ได้ถูกดำเนินคดีเรื่องการแต่งกายตามอัตลักษณ์ แต่มีการดำเนินคดีเรื่องการปราศรัยบนเวทีในลักษณะปลุกระดม และมีการโบกธงบีอาร์เอ็นของขบวนการแบ่งแยกดินแดน …*…
ประเด็นการแต่งกายชุดมลายูอย่างเอิกเกริกในที่ประชุมระดับชาติ กลับถูกหยิบยกมาเป็นเงื่อนไขในการแบ่งแยกความคิดของผู้คนในสังคมประเทศที่อ้างว่าต้องการสื่อถึงความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นที่สืบทอดมาจากประวัติศาสตร์ของตนเอง แต่นั่นกลับตอกย้ำถึงความแตกต่างทางกายภาพที่มุ่งไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งแยกผู้คนในสังคมให้ออกห่างจากกันมากขึ้นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในความเป็นตัวตนของกลุ่มพื้นถิ่นจนนำไปสู่การยอมรับในการปกครองกันเองของพวกเขาในที่สุด …*…
หากรัฐไม่ตระหนักรู้ และไม่เท่าทันกับยุทธศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐที่กำลังขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นในห้วงเวลานี้ เพราะนอกจากการพยายามสื่อถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของคนในพื้นที่แห่งนี้ที่แตกต่างกับคนนอกพื้นที่อย่างชัดเจนผ่านคำว่าอัตลักษณ์ประจำถิ่นที่สืบต่อกันมาที่รัฐต้องให้เสรีภาพในการแต่งกายตามที่กลุ่มคนต้องการ หากแต่ชุดที่สวมใส่นั้นหาใช่เป้าหมายให้เกิดการยอมรับในการแต่งกายประจำถิ่นเท่านั้น ทว่าแต่หมายให้เกิดการยอมรับระดับชาติว่าคนกลุ่มนี้มีความเป็นชาติพันธุ์ที่ต้องให้อิสระในการอยู่กันเองจนลุกลามไปสู่การต่อสู้ให้รัฐไทยยอมรับธงบีอาร์เอ็น …*…
ทั้งหมดนี้คือกระบวนการรุกระดับยุทธศาสตร์ของขบวนการ โจรแบ่งแยกดินแดนที่รัฐต้องตามให้ทัน รวมถึงสังคมต้องใส่ใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ที่มา:เจ้าพระยา (1/2/67)