วันที่ 15 ม.ค.2567 เวลา 10.30 น.ที่รัฐสา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ที่ประชุมได้พิจารณากระทู้ถาม ของนพ.อำพล จินดาวัฒนะ สว. เรื่องนโยบายการส่งเสริมการมีบุตร ถามนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ถึงนโยบายเป้าหมาย แผนงานรับ รวมถึงปัญหาอุปสรรคและผลสัมฤทธิ์ เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงร้อยละ 20 อีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า จะทำให้ประเทศเป็นสังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบ ซึ่งสวนทางกับอัตราการเกิดของเด็กที่ลดลง
นพ.ชลน่าน ชี้แจงว่า ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภามีการพูดถึง นโยบาย ที่จะขับเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างประชากร สังคมสูงอายุในอนาคตที่จะเป็นปัญหา มั่นใจว่ามีนโยบายที่จะตอบโจทย์ เป็นนโยบายวาระแห่งชาติที่จะผลักดันให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม รวมถึงกำหนดนโยบายส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพเพื่อพัฒนาประชากรและทุนมนุษย์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขนำมาปรับปรุงแก้ไขเป็นนโยบายขับเคลื่อนแผนพัฒนาประเทศในระยะยาว ได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อพิจารณาแล้ว จากนั้นจะมีการประกาศเป็นวาระแห่งชาติและจะขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพระยะ 5 ปีระหว่างปี 25616-2570 ซึ่งกลไกการขับเคลื่อนจะมีคณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพเพื่อพัฒนาประชากรและทุนมนุษย์ กำกับติดตามแผนปฏิบัติการ ของแต่ละกระทรวง และจะบูรณาการการทำหน้าที่ร่วมกัน แล้วรายงานความคืบหน้าสู่ครม.
“ปัญหา อุปสรรค และความท้าทายนั้นยอมรับว่าเรื่องค่านิยมที่เปลี่ยนไป ครอบครัวหลากหลายมากขึ้น และการมีลูกไม่ได้เป็นเป้าหมายของชีวิต ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม ด้านการสร้างครอบครัวของคนรุ่นใหม่ และขับเคลื่อนมาตรการในร่างระเบียบวาระแห่งชาติ เพราะจากการคาดการณ์ อีก 60 ปี ประชากรไทยจะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 33 ล้านคน แบ่งเป็นวัย 0-14 ปี เหลือ 1 ล้านคน วัยทำงานเหลือ 14 ล้านคน วัยผูสูงอายุ เพิ่มเป็น 18 ล้านคน มั่นใจว่าเฉพาะกำลังของรัฐบาลที่มีอยู่ สามารถที่จะให้ประชาชนมีลูกและสมบูรณ์พร้อมตั้งแต่อยู่ในท้อง หลังเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยมีคลินิกส่งเสริมการมีบุตรและการเกิด ivf (การปฏิสนธินอกร่างกาย) หรือเด็กหลอดแก้ว ปีละ 10 ราย”นพ.ชลน่าน กล่าว