"ดีเอสไอ"มีมติกล่าวหา"อดีตรัฐมนตรี-ผู้บริหารก.แรงงาน" รวม 4 ราย ฐานความผิด ม.157 พบหลักฐานโยงเรียกเก็บค่าหัวคิว ขบวนการส่งแรงงานไทยไปฟินแลนด์เสียหาย 36 ล้านบาท

 เมื่อวันที่ 11 ม.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำโดยกองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะพนักงานอัยการที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้ร่วมสอบสวน มีมติร่วมกันให้กล่าวหากับอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองระดับรัฐมนตรี 2 คน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานอีก 2 คน รวมทั้งหมด 4 คน ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 โดยจะเร่งสรุปสำนวนการสอบสวนส่งสำนักงานป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2561 ต่อไป

 กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษโดยกองคดีการค้ามนุษย์ได้ทำการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 81/2566 เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องแรงงานไทยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในสาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ได้ให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในสาธารณรัฐฟินแลนด์ที่เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในการเดินทางกลับประเทศไทย

 ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบว่าเป็นคดีความผิดที่ส่วนหนึ่งเกิดนอกราชอาณาจักร จึงเสนอสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการสูงสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 และอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำการสอบสวนต่อไป และอัยการสูงสุดได้มอบหมายพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวน ซึ่งมีการขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานจากสาธารณรัฐฟินแลนด์ในความผิดฐานค้ามนุษย์ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อมาทางการสาธารณรัฐฟินแลนด์ได้ส่งพยานหลักฐานสำคัญตามที่ทางการไทยร้องขอให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ

 โดยจากการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษร่วมกับพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด และพยานหลักฐานที่ได้จากความร่วมมือระหว่างประเทศกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐฟินแลนด์ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีขบวนการสมคบระหว่างนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลธรรมดา ร่วมกันเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทผู้ประสานงานฝั่งไทยที่ทำหน้าที่ประสานงานกับบริษัทที่จะนำเข้าแรงงานของสาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นค่าหัวคิว (DOE MAMAGEMENT) หรือค่าดำเนินการเฉลี่ยรายละ 3,000 บาท

 โดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทประสานงานฝั่งไทยได้นำมาเรียกเก็บจากคนงานที่ไปทำงานอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายตามจริง โดยในปี พ.ศ.2563  พ.ศ.2566 ซึ่งเป็นช่วงดำเนินคดี มีผู้อยู่ในข่ายต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวรวมประมาณ 12,000 คน คิดเป็นเงินรวมประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ ได้มีมติกล่าวหาบุคคลดังกล่าวรวม 4 คน และจะนำส่งสำนวนคดีพิเศษดังกล่าวต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

 แหล่งข่าวระบุว่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ที่มีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ต้องมีบทบาทในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยิ่งเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ ยิ่งต้องให้ความสำคัญเพราะกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้ จึงไม่ควรมีนักการเมืองหรือผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นคดีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการป.ป.ช. ดีเอสไอก็ควรต้องช่วยเหลือและสนับสนุนกรปฏิบัติงานของคณะกรรมการป.ป.ช.ตามอำนาจหน้าที่ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ