เมื่อเวลา12.00น.วันที่ 5 ธ.ค.2567 ที่สน.บางบอน พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 พ.ต.อ.ธีระชัย เด็ดขาด รอง ผบก.น.9 พ.ต.อ.ธิติพงษ์ สียา ผกก.สส.บกน.9 พ.ต.อ.ประสิทธิ์ สมใจประสงค์ ผกก.สน.บางบอน พร้อมฝ่ายสืบสวนกก.สส.บกน.9และสน.บางบอน ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัวนายเจษฎา อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่5/2567 ลงวันที่4 ม.ค.67 ข้อหา ลักทรัพย์ในเคหะสถานในเวลากลางคืน โดยทำอันตราย ซึ่งสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆโดยเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม

 โดยจับกุมตัวได้ที่ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แยก คปอ.(ทางออก3) แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ขณะจอดรถแท็กซี่เพื่อรอลูกค้า จากนั้นพาไปค้นบ้านพักที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี พบนาฬิกาหรูยี่ห้อต่างๆรวม 8 เรือน เครื่องเพชรต่างๆประกอบด้วยสร้อยข้อมือ 2 เส้น แหวนเพชร 6 วง ตั่งหู 6 คู่ กระเป๋าแบรนด์เนม 4 ใบ ทุกอย่างถูกใส่ถุงพลาสติกไว้ที่หลังบ้าน จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง และจับกุมตัวนายอิศร อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นญาติกัน ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่4/2567 ลงวันที่4ม.ค.66 ในข้อหาเดียวกัน โดยจับกุมตัวได้ที่ริมถนนใกล้ปากซอยประชาร่วมใจ10 แขวงทรายกองดิน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯขณะกำลังขับรถเก๋งโตโยต้า โคโรล่า สีเทาดำ ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุ กำลังจะออกไปทำธุระนอกบ้าน จากนั้นะาไปค้นในบ้านพักเลขที่ 1085 ซอยประชาร่วมใจ13 แขวงทรายกองดิน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯพบของกลางนาฬิกาแบรนด์เนม 6เรือน และเงินสด8พันบาท ชุดที่ใส่ในวันก่อเหตุ จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง จากนั้นนำตัวทั้งคู่ไปสอบสวนที่สน.บางบอน

   

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่31ธ.ค.66ได้มี น.ส.มัทนี อายุ 34 ปี ซึ่งเป็นผู้บริหาร หจก.แห่งหนึ่ง ในซอยบางบอน 4 แขวงบางบอนเหนือ เขตบางบอน กรุงเทพฯได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.ภัทรพล ลิ้มเทียมรัตน์ รอง สว.(สอบสวน)สน.บางบอน ว่า ช่วงเวลาประมาณ 05.00น.วันที่ 31 ธ.ค.ได้เปิดภาพจากกล้องวงจรปิดดูทางโทรศัพท์มือถือขณะพักอยู่กับคนอบครัวที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี พบว่าช่วงเวลาประมาณ03.20น.วันที่31ธ.ค.ได้มีคนร้ายเป็นชาย ใส่ชุดรัดกุมได้ปีนกำแพงเข้าบ้าน แล้วขึ้นไปบนระเบียงชั้น2 ถอดประตูกระจกเข้าไปขโมยตู้เซฟ ซึ่งภายในบรรจุนาฬิกายี่ห้อหรูหลายเรือน เครื่องเพชร ทอง และกระเป๋าแบรนด์เนม4ใบ รวมมูลค่ากว่า3ล้านบาท แล้วหลยหนีไป จึงมาแจ้งความเพื่อให้ตำรวจช่วยติดตามตัวคนร้าย


    จากนั้นพ.ต.อ.ธิติพงษ์ ทำการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดรอบบ้านที่กิดเหตุและเส้นทางของคนร้ายทำให้ทราบว่า คนร้ายใช้รถเก๋งโคโรล่า สีเทาดำ ทะเบียน กรุงเทพมหานคร วนเข้ามาดูลาดเลา ก่อนถอดแผ่นป้ายทะเบียนออก จอดรถหน้าบ้านที่ห่างไปจากบ้านที่ก่อเหตุประมาณ 60 เมตร จากนั้นคนนั่งข้างได้ปีนกำแพง ซึ่งยาวประมาณ 60 เมตร เดินย่อตัวหลบกล้องวงจรปิดเข้าไปในบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ก่อเหตุ หลังได้ทรัพย์สินเป็นตู้เซฟแล้ว ได้เดินมาขึ้นรถ และติดแผ่นป้ายทะเบียน เพื่อไม่ให้ด่านตรวจสงสัย ขับรถหลบหนีหลอกกล้องไปทางจ.นนทบุรี อยุธยา สุพรรณบุรี ปทุมธานี จนกระทั่งไปสิ้นสุดที่บ้านของนายอิศร ย่านทรายกองดิน เจ้าหน้าที่จึงเจ้าตรวจค้นและขยายผลจัมกุมตัวได้อย่างรวดเร็ว


  จากการสอบสวนนายเจษฎา ให้การว่า ตนเคยทำงานอยู่ที่บริษัทดังกล่าว แต่ลาออกมาขับรถแท็กซี่ได้ประมาณปีเศษ ช่วงก่อนปีใหม่ แม่ยายตนที่ยังทำงานอยู่ที่โรงงาน ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ช่วงปีใหม่ได้หยุดงานหลายวัน เพราะเจ้าของจะเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงปีใหม่ โดยออกจากบ้านตั้งแต่วันที่30ธ.ค.ตนจึงคิดหาเงินเที่ยวปี เพราะรู้จักพื้นที่เกิดเหตุเป็นอย่างดี จึงโทรศัพท์ไปตามนายอิศร ที่เป็นญาติกัน ให้ช่วยขับรถไปก่อเหตุด้วยกัน โดยถอดป้ายทะเบียนออกทั้งหน้าหลัง โดยตนเป็นคนปีนเข้าไปในบ้านลงมือก่อเหตุ หลังจากได้ทรัพย์สิน ได้ให้นายอิศร ขับรถหลอกกล้องไปในหลายจังหวัด จนกระทั่งมาถึงบ้านพักของนายอิศร แล้วใช้ลูกหมูช่วยกันตัดเปิดตู้เซฟ ได้ทรัพย์สินมีค่าหลายรายการ ตนแบ่งนาฬิกาหรู 6 เรือน และเงิน 6 พันบาท ให้นายอิศร แล้วนายอิศรได้นำนาฬิกาโรเล็กซ์ไปจำนำได้เงินมา 6 พันบาท ส่วนตนกลับไปบ้านที่สระบุรี เอาทรัพย์สินใส่ถุงฝังดิน แล้าเอาทองคำแท่งหนักประมาณ 2 บาท ไปขายที่ร้านทองใกล้บ้านได้เงินมา 6 หมื่น ใช้จ่ายจนเกือบหมด แล้วก็มาภูกจับกุมตัวดังกล่าว
   

จากการตรวจสอบประวัติคนร้ายทั้ง2คน ยังไม่พบว่าเคยก่อคดีมาก่อนแต่อย่างใด