วันที่ 5 ม.ค.2567 นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ว่า วันนี้ขอทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ที่ฝากมาขอบคุณรัฐบาล นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โดยเฉพาะ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ที่มีนโยบายลดค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนมาแล้วเป็นเวลา 3 เดือน

ทั้งนี้ มีทั้งการตรึงราคาก๊าชหุงต้ม 423 บาท/ถัง (ถัง 15 กก.) การลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาท/ หน่วย ช่วยลดค่าใช้จ่าย 15% ซึ่งประชาชนมีความต้องการให้คงราคาค่าไฟไว้ที่ 3.99 บาท/ หน่วย และผู้ประกอบการต้องการคงราคาค่าไฟไว้ไม่เกินที่ 4.20 บาท/ หน่วย นอกจากนั้นมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท และเบนซินลดลง 2.50 บาท ช่วยลดค่าใช้จ่าย 15%

นอกจากนั้น ในช่วงปีใหม่ วันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 2 มกราคม 2567 กระทรวงพลังงานได้ตรึงราคาน้ำมันคงที่ทำให้ไม่เกิดการเก็งกำไรราคาน้ำมันและไม่ขาดแคลนน้ำมันในช่วงวันหยุด ซึ่งพี่น้องประชาชนผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ต้องการราคาน้ำมันคงที่ไม่ขึ้นไม่ลงตลอดไป เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารค่าใช้จ่าย  ขณะที่เอกชนไม่ต้องกังวลเรื่องราคาสินค้า และไม่ต้องเก็บสต๊อกสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันภาครัฐก็ลดค่าใช้จ่าย ค่าชดเชยตามสัญญาแบบปรับราคาได้ เป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท

นายเกชา กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิดในปี 2563 น้ำมันราคาถูกลง ต่อมา ปี 2564 ,2565,2566 สถานการณ์โควิดดีขึ้น และมีสถานการณ์สงคราม ทำให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้น ทำให้รัฐต้องมีภาระจ่ายเงินชดเชย ตามสัญญาแบบปรับราคาได้ ซึ่งรัฐจะจ่ายให้ต้องรอ 2-3 ปี ผู้ประกอบการฝากตนมาว่า ค่าใช้จ่ายชดเชยค่า K อยากให้รัฐจ่ายภายใน 1 ปี เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่างจากกรณีเอกชนที่ต้องจ่ายคืนค่าชดเชยค่า K ให้กับรัฐต้องจ่ายภายใน 15 วัน

นายเกชา กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้าน บาท เป็นงบแบบขาดดุลประมาณ 7 แสนล้านบาท ตนเห็นด้วยกับรัฐบาล ในการจัดงบขาดดุล เพราะรัฐต้องเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ ตามพ.ร.บ.งบประมาณ งบลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 20% โดยมีงบลงทุน 7 แสนล้านบาท มากกว่าปี 2566 ที่มี  611,933 ล้านบาท ยังไม่รวม รัฐวิสาหกิจ 56 แห่งและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,906 แห่ง รวมงบลงทุนทั้งหมดน่าจะประมาณ 1 ล้านล้าน โดยต้องใช้อย่างสุจริต และโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายเรียกร้องให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจัดซื้อ จัดจ้างอย่างโปร่งใส มีคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยประกาศหลักเกณฑ์มาแล้ว 3 ฉบับใช้ระบบ E- bidding ในการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้เกิดความสะดวกในการซื้อแบบ ซื้อเอกสาร ออกหนังสือค้ำประกันจากธนาคาร เสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก แต่ภาครัฐประหยัดงบประมาณได้ไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากที่ผ่านมา มีข้อมูลรั่วไหล เช่น รายชื่อผู้ซื้อแบบ ซื้อเอกสารรั่ว ราคากลางที่เสนอรั่ว

อย่างไรก็ตามใน ปี 2566 กรมบัญชีกลางได้เปลี่ยนระบบ E - bidding จากการขายแบบขายเอกสารเป็นแบบประกาศขึ้นหน้าเว็บไซต์ ทำให้ข้อมูลผู้รับแบบรับเอกสารราคาที่เสนอไม่รั่วไหล ทำให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการลดราคา 10-40 % เรื่องนี้ก็ต้องขอชื่นชมกรมบัญชีกลาง ขณะที่งบประมาณปี 2567 คาดว่าจะใช้ได้ประมาณเดือนพฤษภาคม จะทำให้รัฐประหยัดงบประมาณไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยไม่รวมท้องถิ่น ซึ่งเงินเหลือจ่ายส่วนนี้รัฐสามารถนำไปใช้ในส่วนอื่นที่จำเป็นได้อีกจำนวนมาก ก็ขอฝากนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปรับปรุงระบบ E - bidding รูปแบบใหม่ทำให้ข้อมูลไม่รั่วไหล ทำให้ประเทศชาติประหยัดงบประมาณได้เป็นจำนวนมาก

นายเกชา กล่าวว่า  เนื่องจากระยะเวลาในการใช้งบประมาณมีเวลาเหลือ 5 เดือน ตนขอเสนอหลังจากที่สภาฯรับหลักการวาระ 1 แล้วขอให้หน่วยงานที่ใช้งบประมาณในการลงทุนได้หาตัวผู้รับจ้างรอไว้เลยไม่ต้องเสียเวลาอีก 1-2 เดือน เพื่อเตรียมความพร้อมและรวดเร็วในการใช้งบประมาณเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรจะมีการเตรียมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร  ขณะที่เรามีเจ้าหน้าที่พัสดุ มีความชำนาญ เชี่ยวชาญ และมีความพร้อมทำทุกขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว

“ แต่ยังมีหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการบางสาขา ที่ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก คือ สาขางานก่อสร้างทางชั้นพิเศษ ที่มีผู้รับเหมาชั้นที่ 1 ร้องเรียนจำนวนหลายราย โดยการประกาศหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลาง สร้างเงื่อนไขกีดกันการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมา ชั้น 1 ไปเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ โดยกำหนดเงื่อนไขต้องมีประสบการณ์รับงานในโครงการ 1 โครงการ มูลค่า 450 ล้านบาท แต่ในประกาศหลักเกณฑ์กำหนดให้ผู้รับเหมาชั้น 1 เข้าประมูลงานโครงการที่มีมูลค่าได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท และ 1 ก 600 ล้านบาท เป็นการยากมากๆที่ผู้รับเหมาชั้น 1 จะประมูลงานที่มีมูลค่ามากกว่า 450 ล้านบาทได้” นายเกชากล่าว

ทั้งนี้ การเลื่อนชั้นผู้รับเหมาจากชั้นที่ 6 ไปถึงชั้นที่ 1 ใช้ผลงานเพียงกึ่งหนึ่งของสิทธิ์การประมูล ส่วนการเลื่อนผู้รับเหมาชั้นที่ 1 เป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ต้องใช้ผลงาน 450 ล้านบาท  ( 90%) ของสิทธิ์การประมูล ทำให้ไม่สามารถเลื่อนชั้นเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษได้ เป็นหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาชั้นพิเศษซึ่งมีไม่กี่รายหรือไม่ หากแก้ไขปรับปรุงประกาศหลักเกณฑ์ ของกรมบัญชีกลาง โดยปรับเงื่อนไขผลงานให้สอดคล้อง กับสัดส่วนของการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมาชั้นอื่น จะทำให้ประเทศชาติประหยัดงบประมาณได้ปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากผลประมูลงานที่ผ่านมาของผู้รับเหมาชั้น 1 และผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ผู้รับเหมาชั้น 1 ประหยัดงบประมาณได้  20%   โดยมีผู้ซื้อเอกสาร   20-30 ราย ขณะที่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษประหยัดงบได้เพียง   0.5%   มีผู้ซื้อแบบ  3-5 รายเท่านั้น  ซึ่งในงบปี 2567 วงเงินที่ผู้รับเหมาชั้น1 มีสิทธิ์ประมูลได้ในวงเงิน 300 - 600 ล้านบาท มีเพียง 10 โครงการ งบประมาณ 5,390 ล้านบาท (มี 67 ราย) ไม่มีงบของกรมทางหลวงชนบท วงเงินที่เกิน 600 ล้านบาท (ทล.50 + ทช. 11) มากถึง 61 โครงการ งบประมาณ 52,723 ล้านบาท (มี 79 ราย) อยากถามว่าเป็นการจัดงบแบบเหลื่อมล้ำ ไม่กระจายงบประมาณให้กับผู้รับเหมาชั้นอื่น ๆหรือไม่

นายเกชา กล่าวว่า อยากฝากนายกฯได้กำชับกรมบัญชีกลางให้แก้ไขหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นผู้รับเหมาจากชั้น 1 เป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ โดยการแก้ผลงานจาก 450 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท ให้เกิดความเป็นธรรมและใช้งบประมาณให้เกิดความสุจริต เปิดเผย โปร่งใส อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 66 กรมทางหลวงได้แจ้งผู้รับเหมาให้เตรียมความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการปรับปรุงผิวทางแบบ Asphalt Hot Mix In-Plant Recycling โดยรายละเอียดและคุณสมบัติของโรงงานผสมแอสฟัลค์คอนกรีตจะแจ้งให้ทราบต่อไป ต่อมาวันที่ 27 ธ.ค. 66 กรมทางหลวงแจ้งว่า จะรับยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อขึ้นบัญชีโรงงานผสมแอสฟันต์คอนกรีต สำหรับเสนอราคางานปรับปรุงผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีตเดิม นำกลับมาใช้ใหม่ด้วยวิธีAsphalt Hot Mix In-Plant Recycling ปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2567 หลังประกาศมีเวลาเพียง 30 วันเท่านั้น ถือว่าเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการบางกลุ่ม

“การประกาศเช่นนี้ไม่ทราบว่ากรมทางหลวงได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วหรือยัง เพราะว่าผู้รับเหมาต้องซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มเติม ชุดละประมาณ 20 ล้านบาท และต้องใช้เวลานำเข้าจากต่างประเทศ ต้องใช้งบในการซื้อเครื่องจักรของผู้รับเหมาทั้งประเทศอีกนับหมื่นล้านบาท เป็นการเสียดุลการค้าในสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว จึงขอฝากกรมบัญชีกลางไปตรวจสอบด้วย และถ้าเป็นไปได้ให้กรมบัญชีกลางยกเลิกบัญชีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับหน่วยงานต่างๆ และให้กรมบัญชีกลาง ดำเนินการขึ้นทะเบียนเพียงหน่วยงานเดียว เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน” นายเกชา กล่าว

นายเกชา กล่าวฝากสำนักงบประมาณ ไปดูเรื่องบัญชีนวัตกรรมที่มีราคาแพงมาก และได้สิทธิ์พิเศษในการเสนอราคาโดยเฉพาะประกอบด้วย 1.เสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มีราคาถึงชุดละ 67,000 บาท ขณะที่กทม.เพียงต้นละ 35,000บาท ขณะนี้ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบเสาไฟฟ้าแบบนี้ซึ่งในภาคอีสานมีเป็นจำนวนมาก  และ 2.ประปาป็อก แทงค์ ราคาชุดละ 3-5 ล้านบาทแล้วแต่ขนาด

นายเกชา กล่าวย้ำว่า มั่นใจว่าเศรษฐกิจปี  2567 จะฟื้นตัว และ ปี 2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากว่าปีนี้เรามีงบประมาณ ทั้งปี 2567 และ ปี 2568 ติดต่อกัน ทำให้มีเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ สร้างความสุขให้พี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง