เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ โพสต์ข้อความระบุว่า...

“จตุพร” ดักทาง รพ.ตำรวจ-กรมคุกกลัวความจริง หวั่นทำลายภาพบันทึกคนป่วยชั้น 14 หมดเกลี้ยง หวังสมคบหนุนดัน “ทักษิณ” ได้ประโยชน์ไปฉลองสุขอยู่บ้าน ง้างปากราชทัณฑ์บอกมานักโทษคนไหนไม่เคยติดคุกแล้วได้สิทธิขังอยู่บ้าน ฟาดระเบียบคุมขังทำลายอำนาจตุลาการ กร่างศักดาใหญ่กว่าคำพิพากษา

เมื่อ 15 ธ.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ถามนักโทษทักษิณ ชินวัตร ว่า ไม่เคยติดคุกสักวันยังจะเอาเปรียบหาประโยชน์จากราชทัณฑ์ให้ส่งตัวไปคุมขังเสวยสุขที่บ้านอีกหรือ? เคยเป็นถึงนายกฯ มาแล้วควรทำตัวเป็นแบบอย่างสังคมและที่สำคัญอย่าแอบอิงราชทัณฑ์มาทำลายอำนาจตุลาการ

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีกรมราชทัณฑ์ไปให้ถ้อยคำกับ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับระเบียบราชทัณฑ์คุมขังนักโทษนอกเรือนจำนั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม บอกเป็นปัญหาการสื่อสาร แต่การชี้แจงความจริงต้องแสดงออกมาให้แจ่มแจ้งครบทุกกระบวนการ ทั้งอาการนักโทษทักษิณ ก่อนถูกส่งตัวไป รพ. ตำรวจ ต้องมีภาพบัยทึกมาแสดงให้เห็นด้วย

อีกทั้งระหว่างอยู่ รพ. 114 วัน มีกล้องบันทึกภาพตลอด 24 ชม. ภาพเช่นนี้คือความจริงจะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากนี้ การควบคุมนักโทษไปคุมขังต้องประกอบด้วยผู้คุม 4 คนต่อนักโทษ 1 ราย และมีภาพบันทึกไว้ทั้งหมด ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้เลย สิ่งนี้ราชทัณฑ์ควรชี้แจงพิสูจน์ความจริง

"ถ้ามีความจริงอยู่ทุกกระบวนการแล้ว ทุกหน่วยงานทั้ง รพ.ตำรวจและกรมราชทัณฑ์ต้องเสียงดังฟังชัด ต้องพร้อมให้พิสูจน์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องสิทธิของผู้ป่วย แต่เป็นสิทธิของประชาชนพึงรู้ว่าป่วยจริงหรือไม่ และช่วงที่ชี้แจงต่อ กมธ.ตำรวจนั้น รักษาการ ผอ.รพ.ราชทัณฑ์ บอกว่าไม่ได้เป็นดุลพินิจหรือความเห็นของ รพ.ราชทัณฑ์ ในการส่งตัวผู้ป่วยไป รพ.ตำรวจ"

นอกจากนี้ ราชทัณฑ์ได้ชี้แจงกับ กมธ.ตำรวจ เมื่อมีการสอบถามถึงช่วงไปฟังคำพิพากษาที่ศาลอาญา หลังศาลอ่านคำตัดสินลงโทษแล้ว ราชทัณฑ์ต้องควบคุมตัวกลับมาเรือนจำด้วยรถของราชทัณฑ์ แต่เมื่อถูกถามว่า นักโทษนั่งรถอะไรมาเรือนจำ กลับตอบไม่ได้ จึงเป็นการผิดหลักการควบคุมนักโทษทั้งปวง

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้านักโทษนั่งรถคันอื่นที่ไม่ใช่รถของเรือนจำออกจากการฟังคำพิพากษา ก็ผิดตั้งแต่กระบวนการรับตัวนักโทษมาคุมขังแล้ว อีกอย่างในวันที่นักโทษทักษิณมาถึงไทย (เมื่อ 22 ส.ค. 66) ต้องถูกตำรวจควบคุมตัวตั้งแต่ลงเครื่องที่สนามบินดอนเมืองแล้ว เนื่องจากเป็นนักโทษหนีหมายจับของตำรวจ และในวันนั้นจะขึ้นรถอื่นใดไม่ได้ต้องเป็นรถตำรวจเท่านั้น แต่บ้านเมืองกลับไม่ยึดปฎิบัติตามหลักในกระบวนการยุติธรรมกับการอายัดตัวนักโทษหนีคดีและมีหมายจับ

อีกทั้ง ย้ำว่า ในวันกลับมาถึงไทย ทักษิณต้องถูกตำรวจอายัดตัวและนั่งรถตำรวจไปฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกา จากนั้นต้องถูกควบคุมตัวโดยรถราชทัณฑ์ไปคุมขังที่เรือนจำ นักโทษต้องนั่งรถเรือนจำไปคุกเท่านั้น จะไปนั่งรถอื่นใดไม่ได้ ทักษิณ สำคัญอย่างไรต้องนั่งรถคันอื่น เพราะเศรษฐีมั่งมี หรือคนเป็นอดีตรัฐมนตรี มียศชั้นนายพลโท นายพลเอก เมื่อถูกพิพากษาจำคุกต้องถูกควบคุมตัวด้วยรถของเรือนจำไปเข้าคุกทั้งสิ้น

“เรื่องนี้ กมธ.ตำรวจถามราชทัณฑ์ก็ตอบไม่ได้ ส่วนเรื่องรักษาความปลอดภัยเป็นหน้าที่รับผิดชอบของราชทัณฑ์อยู่แล้ว อีกทั้งการส่งตัวไป รพ.ตำรวจบอกว่าเป็นความเห็นทางราชการ ฟังดูแล้วทุกคนกลัวความจริงจนน้ำลายเหนียวกันหมด จนพูดไม่ออก ชี้แจงไม่ได้”

นายจตุพร กล่าวว่า คนที่อยู่คุกมานั้น ต้องรู้ว่าคุกมีไว้ขังทุกคนที่ทำความผิดและมีโทษตามคำพิพากษา ไม่ว่าจะเป็นอดีตรัฐมนตรี ตำรวจ ทหาร ปลัดกระทรวง เมื่อทำผิดถูกลงโทษ ต้องติดคุกทั้งสิ้น ดังนั้น ที่ราชทัณฑ์และหน่วยงานไม่พยายามสื่อสาร เพราะกลัวจะถูกจี้ถามเรียงกันตามลำดับ แล้วตอบไม่ได้ คนก็ยิ่งสงสัยเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้ระเบียบราชทัณฑ์ให้คุมขังนอกเรือนจำ ดังนั้น นักโทษทักษิณ จะอ้างความเป็นคนไทยคนหนึ่งที่จะได้ประโยชน์ตามระเบียบ แต่สิ่งสำคัญทักษิณ ปฏิบัติเหมือนนักโทษคนอื่นหรือไม่ ได้ติดคุกสักวันหรือไม่ อีกอย่างเมื่อนักโทษล้นคุกจะแก้ปัญหาด้วยสร้างคุกเพิ่มย่อมไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ควรต้องแก้ด้วยการเอาคนดีคืนสังคมหลังจากติดคุกและฝึกฝน ได้สร้างอาชีพหลากหลายแล้ว

รวมทั้งสงสัยว่า ระเบียบราชทัณฑ์จงใจออกมาหรือไม่ เพราะเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 66 ไม่มีการอภัยโทษทั่วไป จึงมีระเบียบราชทัณฑ์เร่งรีบลงนามในวันที่ 6 ธ.ค. 66 ทั้งที่รอมาตั้ง 6 ปีตั้งแต่ปี 60 ออกกฎหมาย และตามด้วยกฎกระทรวง จนมาถึงระเบียบนี้

ไม่เพียงเท่านั้น คนยิ่งเพิ่มความสงสัยกันมากไปอีกว่า ทั้งที่รอมาตั้ง 6 ปียังไม่เคยออกระเบียบมาใช้เลย แล้วจู่ๆ เร่งรีบออกมาในวันที่ 6 ธ.ค. 66 โดยอ้างระบายผู้ต้องขังตั้งแต่ปี 60 แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่ทำและทำไมไม่ระบายนักโทษออกจากเรือนจำ

"มีผู้ต้องขังและนักโทษคนไหนบ้าง ที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้โดยไม่ต้องเข้าคุกแม้แต่วันเดียว ถ้าระเบียบนี้เปิดโอกาสให้นักโทษทุพพลภาพ ความจำเสื่อม เป็นโรคร้ายแรงที่ถูกคุมขังในราชทัณฑ์ แต่ถูกระบายออกไปให้คุมขังที่บ้านได้ สังคมจะไม่ว่าอะไรเลย เพราะการใช้บ้านเป็นคุกจะแตกต่างจากการพักโทษที่ใช้เขตจังหวัดเป็นพื้นที่สั่งห้ามออกก่อนได้รับอนุญาต”

นายจตุพร ประชดว่า การให้คุมขังที่บ้านต้องอยู่ที่บ้าน และการให้ดุลพินิจอย่างนี้เป็นช่องว่างใหญ่โต เพราะคนที่ได้ประโยชน์ก็คือบรรดามหาคนจนทั้งหลายที่ถูกขังที่บ้านรั้วสังกะสี คิดว่าภาพอย่างนี้จะเกิดหรือไม่ ดังนั้น รัฐมนตรียุติธรรมเรียกร้องถึงการสื่อสาร ต้องควรบอก รพ.ตำรวจกับกรมราชทัณฑ์ แถลงความคืบหน้าอาการป่วยทุกวัน เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ

"มีการพยายามใช้ช่องว่างว่า หลังถูกคุมขังชั้น 14 รพ.ตำรวจมา 1 ใน3 ของโทษที่เหลือแล้ว จะเข้าโครงการบ้านเป็นคุก ผมท้าเลยก็ลองดู ผมได้ยินว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินเคยจะไปดูถึงชั้น 14 แล้ว แต่ถูกอะไรมาเบรคไว้ก่อน ถ้าไม่จริงก็ถือว่า ผมหูแว่วก็แล้วกัน แต่ปัญหาคือ มีอะไรถึงต้องเบรคไว้”

พร้อมกล่าวว่า นักโทษทักษิณ หนีคดีไปถึง 15 ปี เมื่อกลับมายอมรับสารภาพและสำนึกผิดกับการกระทำจึงได้รับอภัยโทษ ดังนั้น การอ้างเหตุการยึดอำนาจ หรือเรื่องอะไรก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว เพราะรับสารภาพความผิดแล้ว ถ้ายังอ้างอีกแสดงว่ายังไม่สำนึกผิด แล้วที่สารภาพผิดก็เป็นการโกหก ดังนั้น ปัญหามีว่า ทักษิณ โกหกกับใครจึงได้อภัยลดโทษ

"เราไม่ได้ใช่คนอาฆาตมาดร้ายอะไร แต่จะบอกว่า สิ่งนี้จะเป็นวิกฤตใหญ่ในวันข้างหน้า โดยในวันที่ทักษิณ มีอำนาจใหญ่กว่านี้อีกไม่ใช่เหรอ แต่อยู่ได้หรือไม่ แล้ววันนี้มามีอำนาจอีก ก็ไม่เท่ากับในวันนั้นที่มีอำนาจ แต่อำนาจไม่ได้จีรังกับใครเลย"

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อกลับมาไทยแล้ว เข้าคุกสักวันก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างที่ไปเรือนจำนั้นมีกล้องจับไว้หมด จึงเป็นเรื่องผิดปกติ คนจึงสงสัย อีกอย่างผู้มากอิทธิพลทางการเมือง เมื่อป่วยคนยิ่งอยากไปเยี่ยม แม้จะไปในทางลับก็ตาม แต่กล้อง รพ.ตำรวจ ต้องบันทึกภาพเอาไว้ได้ จึงควรนำภาพมาเปิดเผย เพื่อลดความสงสัยของประชาชน

"เอาเลย กลับไปบ้านฉลองปีใหม่เลย หาความสำราญตามสบาย แต่จำปากไว้เรื่องนี้จะกลายเป็นชนวนใหญ่ที่สุดในวันที่สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจมาฉับพลันก็ได้ หรือไม่ฉับพลันก็ได้ เพราะคนมีความรู้สึกกันทั้งนั้นว่า กระบวนการยุติธรรมต่อไปคำพิพากษาของศาลไม่มีความหมายเมื่อมาเจอคณะกรรมการชุดระเบียบราชทัณฑ์ที่ใหญ่กว่าอำนาจตุลาการเสียอีก”

พร้อมทั้งกล่าวว่า ทักษิณ คนเคยเป็นนายกฯ มาแล้ว มีอำนาจยิ่งใหญ่ ควรต้องทำตัวเป็นแบบอย่างสังคม หากวันนี้คิดว่า ทุกอย่างคุมได้เบ็ดเสร็จ ทุกอย่างอยู่ในกำมือตัวเองแล้ว คิดว่าเป็นใหญ่ และอธิบายโดยไม่คำนึงถึงสถาบันใดของแผ่นดินจะได้รับผลกระทบกระเทือนบ้าง อย่างไรก็ตาม อะไรที่ไม่ยุติธรรม ฟ้าจะลงทัณฑ์ได้เสมอ

"อย่าได้ทำลายภาพที่บันทึกไว้นะ ยิ่งคนสงสัย รพ.ตำรวจและราชทัณฑ์ ต้องยิ่งเก็บรักษาภาพเอาไว้ ราชทัณฑ์วันนี้ที่พูดไม่ได้เพราะไม่มีความจริงจะพูด ทุกคนจึงต้องหนีกันหมด นายกฯ ก็ไม่พูด รัฐมนตรียุติธรรมบอกปัดให้ราชทัณฑ์แถลงสื่อสาร ดังนั้น จึงต้องคิดถึงความถูกต้องให้มาก เพราะสิ่งที่คนสงสัยกำลังรอให้พิสูจน์ทราบอยู่”

ส่วนนายกฯ ลาพักร้อนโดยอ้างทำงานหนักนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เพิ่งทำงานมา 3 เดือนก็ลาพักแล้ว อีกอย่างที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึง พรบ.กู้เงิน 5 แสนล้าน ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ลาออกนั้น เป็นการสะท้อนชัดเจนว่า ไม่ยอมเสียทางการเมืองคนเดียว ดังนั้น การไม่ลาออกคงมีความหมายว่า จะยุบสภา

“พรรคเพื่อไทยจะรอให้นายกฯ อยู่ถึงวันออก พรบ.กู้เงินมาแจกดิจิทัลหรือไม่ เพราะการเมืองเมื่ออำมหิตจะไม่ไว้หน้าใคร และสถานการณ์ขณะนี้ผิดปกติทุกอย่าง แล้วจะเกิดความกดดันรุนแรงหลังปีใหม่ และจะมีโรคแทรกเข้ามาป่วนผสมปนเปยิ่งขึ้นไปอีก”

ประเทศไทยต้องมาก่อน