เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 7 พ.ย.66 ที่ สภ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น พ.ต.อ. สมมาตย์ มั่งไธสง ผกก.สภ.แวงน้อย เปิดเผยว่า ภายหลังจากส่งรถตู้ และนายเดช (นายสมมุติ) คนขับรถตู้ไปให้ ศพฐ.4 ขอนแก่น ตรวจเก็บหลักฐานในรถตู้ แล้วเก็บดีเอ็นเอจากคนขับรถตู้ ในเบื้องต้นพบคราบสารเหลวสีแดง แต่ยังต้องตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ก่อนว่า คือคราบอะไร ซึ่งหลังจากนายเดช ถูกเก็บดีเอ็นเอแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พาน้าเดชกลับบ้าน จึงได้เรียกตัวนายเดช มาสอบปากคำ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะเมื่อนายเดช แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการขับรถตู้มาพบตำรวจแล้ว นายเดชก็ต้องพร้อมที่จะให้สอบปากคำ
"จากการสอบสวน นายเดช ก็ให้การปฏิเสธ ว่าไม่ได้กระทำการข่มขืนเด็กตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมกับมอบบัญชีรายชื่อลูกค้าที่ใช้บริการในวันเดียวกันกับเด็กหญิงวัย 13 ปี คือวันที่ 1 ต.ค. ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะมีการเรียกสอบปากคำพยานตามรายชื่อลูกค้าที่ขึ้นรถมาด้วยตามขั้นตอน"
ผกก.สภ.แวงน้อย กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ได้รับการประสานจาก พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) บก.สส.บช.น. พร้อมชุด pct5 และเจ้าหน้าที่กองบังคับการสืบสวนนครบาล ลงพื้นที่มาร่วมประชุมเร่งรัดดำเนินการทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน คดีเด็กถูกกระทำชำเรา และได้ลงพื้นที่มาร่วมสืบสวนสอบสวนเก็บข้อมูลจากทางตำรวจ สภ.แวงน้อย และจะทำการสอบสวนผู้โดยสารที่นั่งรถตู้คันเดียวกันในวันที่ 1 ต.ค. ทุกคน โดยคดีเด็กหญิง 13 ปีนั้น อยู่ในความดูแลของ สภ.แวงน้อยทั้งหมด และแม้ว่าจะยังสอบปากคำเด็กหญิง 13 ปีไม่ได้ และยังไม่ทราบจุดเกิดเหตุที่ชัดเจน แต่ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเร่งสืบสวนสอบสวน พยาน เก็บหลักฐาน ที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการร่วมกันในทุกๆภาคส่วน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
"ในส่วนของคนขับรถตู้ นายเดช ได้เดินทางมาพบตำรวจพร้อมกับนำรถตู้คันที่ใช้รับส่งผู้โดยสารในวันดังกล่าว มาพบกับพนักงานสอบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งทางตำรวจก็ได้ทำการส่งตรวจที่ ศพฐ.4 ทันที เพื่อรวบรวมเป็นในส่วนของพยานหลักฐานในทุกมิติ ก่อนรวบรวมดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป”
ผกก.สภ.แวงน้อย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า คนขับรถตู้ ยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา จึงทำได้เพียงสอบปากคำในฐานะคนขับและเจ้าของรถตู้ สอบสวนเป็นพยานเหมือนผู้โดยสารในรถคนอื่นๆ และยังไม่มีการจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่ชัดเจนเพียงพอในการดำเนินคดีกับคนขับรถตู้ เพราะจะต้องทำการสอบปากคำเด็กหญิง 13 ปีให้ได้ก่อน จึงจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหา และจับกุมตัวได้ ส่วนของเด็กหญิง 13 ปี นั้น อยู่ในความดูแลของแพทย์โรงพยาบาลขอนแก่น ซึ่งอาการยังไม่สามารถให้การได้ โดยแพทย์ได้ทำการตรวจเลือด และซีทีสแกน เพื่อรอผลตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยทางพนักงานสอบสวนเองก็จะรวบรวมเป็นข้อมูลหลักฐานในการประกอบสำนวนคดีด้วย
"สำหรับการตรวจสอบในรถของ ศพฐ.4 ขอนแก่นนั้น เบื้องต้นที่ระบุว่า พบคราบเหลวสีแดงในรถตู้ เจ้าหน้าที่ได้ส่งตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ และได้เร่งรัดขอผลสรุปในหลักฐานส่วนนี้ไป ซึ่งจะใช้เวลาในการตรวจประมาณหนึ่งเดือน ก็จะสรุปผล ว่าคราบเหลวสีแดงนั้นคือสารอะไร จากนั้นจึงจะส่งผลสรุปการตรวจให้กับทางพนักงานสอบสวน สภ.แวงน้อย รวบรวมเป็นหลักฐานในคดี"
ขณะที่นายตี๋ (นามสมมุติ) อายุ 43 ปี พ่อของน้องเอ กล่าวว่า จริงอยู่เรื่องที่เกิดกับลูกสาวนั้น มันเกิดในช่วงที่ลูกสาวนั่งรถตู้ไปหาพ่อแม่เมื่อคืนวันที่ 1 ต.ค. แต่รถตู้ต้องส่งลูกสาวถึงพ่อแม่ไม่เกิน 05.00 น. ของวันที่ 2 ต.ค. แต่รถตู้ส่งลูกสาวเกือบเที่ยงวัน มันจึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติและคิดได้ว่าช่วงเวลาที่ล่วงเลยมานั้นน่าจะเกิดเหตุร้ายกับลูกสาวได้ แต่ในขณะที่ลูกสาวอยู่กับพ่อแม่ ลูกสาวไม่ได้บอกอะไรเลย พ่อแม่จึงไม่รู้ จนกระทั่งส่งลูกสาวกลับบ้าน เมื่อวันที่ 30 ต.ค.เพื่อกลับมาเรียนหนังสือในช่วงเปิดเทอมเดือน พ.ย. 2566 เมื่อลูกสาวกลับถึงบ้าน กลายเป็นคนเสียสติ สติแตก พูดเรื่องถูกข่มขืนให้ย่าฟัง และเอ่ยชื่อคนขับรถตู้เป็นคนทำ จึงพากันไปแจ้งความที่สภ.แวงน้อย และ สน.บางกอกใหญ่
“ในเรื่องถูกข่มขืนนั้น พอเข้าใจได้ตามที่แพทย์บอกว่า ลูกสาวถูกข่มขืนจริง แต่นานแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ทำไมลูกสาว และลูกชายที่นั่งรถตู้คันดังกล่าว กลับมาที่บ้าน จึงเสียสติ สติแตกทั้งพี่ทั้งน้อง และจากการส่งตัวไป รพ.แวงน้อย ในเบื้องต้นหมอบอกว่าลูกๆ คนโดนยา จึงอยากรู้ว่า ลูกโดนยาอะไร โดนได้อย่างไร ใครเป็นคนใส่ยาให้ลูกทั้ง 2 คน ซึ่งตอนนี้ ลูกสาวที่ถูกคนขับรถตู้ข่มขืน ก็เสียสติ สติแตก ส่วนลูกชายก็เสียสติ สติแตก เช่นกัน อาการเดียวกัน จึงวอนขอให้ตำรวจทำการสืบสวน สอบสวน ควบคู่กันไปกับคดีข่มขืนลูกสาวด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวขณะนี้ คือรุนแรงมาก ลูกสองคนเสียสติ เสียอนาคต ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ ไม่มีอนาคตที่ดีตามที่ตั้งใจไว้”