"น้าเดช" เข้ามอบตัวตำรวจขอนแก่น ยืนยันเสียงแข็งไม่ได้ข่มขืน ขณะที่ผู้การฯตำรวจเผยการสืบสวนสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด พฐ.ตรวจหาหลักฐานในรถตู้และเก็บดีเอ็นเอโชเฟอร์ไว้เป็นหลักฐานหลังเข้ามอบตัว 

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 6 พ.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 ขอนแก่น ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น  เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แวงน้อย พร้อมด้วยนายเดช (เจ้าตัวไม่ขอเปิดเผยชื่อและนามสกุล) และรถตู้ ป้ายเหลือง ทะเบียนกรุงเทพฯ นำส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพฐ.4 ทำการตรวจ และเก็บหลักฐานภายในรถตู้คันดังกล่าว หลังนายเดชตัดสินใจเข้ามอบตัว ซึ่งเมื่อเดินทางถึง ศพฐ.4  นายเดชลงจากรถแล้วก็เดินเข้าในสำนักงานฯ โดยไม่ยอมให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ หรือบันทึกภาพแต่อย่างใด โดยยืนยันปฎิเสธและยังไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล

โดยหน้าที่ ศพฐ.4 ได้ดำเนินการใช้น้ำยาตรวจเช็ดบนเบาะรถของรถตู้ เพื่อเก็บหลักฐาน  ซึ่งพบของเหลวสีแดง แต่ยังไม่ยืนยันว่าใช่เลือดหรือไม่  ซึ่งจะนำไปตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อยืนยันว่า ของเหล่วนี้ที่พบนั้น คืออะไร ใช่เลือดหรือไม่

เวลาต่อมาผู้สื่อข่าว เดินทางไปที่บ้านของนายเดช  ไม่พบนายเดช เพราะเดินทางไปพบตำรวจ จึงพบเพียง น.ส.หนิง (นามสมมุติ) อายุ 52 ปี (เจ้าตัวไม่ขอเปิดเผยชื่อและนามสกุล) ภรรยาของนายเดช ซึ่งได้เปิดสมุดบันทึกการเดินทางของลูกค้า โดยระบุว่าเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ในวันดังกล่าวมีผู้โดยสารเต็มคันรถ และมีนายเดชเป็นคนขับจริง

น.ส.หนิง กล่าวว่า ก่อนจะไปรับเด็กหญิง 13 ปีนั้นได้รับการติดต่อจากพ่อของเด็กให้ไปรับลูกสาวยังที่บ้านพักสามีจึงขับรถตู้ไปรับใน 30 ต.ค.  จริงและนำส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย ที่ผ่านมาครอบครัวเด็กหญิงวัย 13 ปี ได้เรียกใช้บริการรถตู้มาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยทางพ่อของเด็กหญิง จะเป็นคนที่โทรติดต่อมาเพื่อให้ไปรับเพื่อเดินทางมายังกรุงเทพฯ โดยส่วนตัวเชื่อใจว่า แฟนไม่ได้ก่อเหตุ เพราะได้ประกอบอาชีพรถตู้รับจ้างมานานกว่า 10 ปี และเป็นอาชีพหลักจะไม่มีทางทำผิดแน่นอน

“ในส่วนของเหตุการณ์ที่มีการกล่าวอ้างนั้น ยอมรับว่าตกใจ หลังจากที่ทราบข่าวก็ได้มีการพูดคุยกับนายเดช นายเดชบอกว่าไม่ได้ก่อเหตุแต่อย่างใด เพราะหากเป็นเรื่องจริง ทำไมผู้เสียหาย ไม่แจ้งความตั้งวันที่ 1 ต.ค.  แต่เรื่องได้ผ่านมา 1 เดือน ถึงมีการแจ้งความกับทางตำรวจ”

ขณะที่ นายปริญญา หัสดินทร์ณ อยุธยา หน.กลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่น พร้อมเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดขอนแก่น ได้เดินทางมาตรวจสอบเอกสารของรถตู้คันที่ใช้ในวันเกิดเหตุ พบว่าเป็นรถตู้โตโยต้า หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร มีการจดทะเบียนขอเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง ถูกต้องตาม พรบ.ขนส่งทางบก มีการต่อทะเบียนถึงปี 2567

ด้าน พล.ต.ต.อนุวัตร สุวรรณภูมิ ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวว่า ความคืบหน้าทางคดีได้ดำเนินการส่งตัวเด็กไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาล และได้สอบปากคำพ่อแม่เด็กเรียบร้อย ได้ความว่าก่อนหน้านี้ 1 เดือนเด็กได้เดินทางไปอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพฯ ทางพ่อแม่ได้ประสานรถตู้ให้รับเด็กที่ อ.แวงน้อย ไปส่งที่กรุงเทพ และเด็กได้บอกกับพ่อแม่ว่าคนขับรถตู้ได้ล่วงละเมิด และปัจจุบันหลังจากที่แจ้งความได้ส่งตัวเด็กไปพบหมออยู่ที่โรงพยาบาลขอนแก่น เบื้องต้นแพทย์บอกว่าสภาพจิตใจของเด็กยังไม่ดีและยังให้การอะไรไม่ได้ ทางเราได้ประสานงานไปยัง สน.บางกอกใหญ่  ให้เชื่อมั่นว่าทางตำรวจจะดำเนินการเต็มที่ตามกระบวนการทางกฎหมายไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง

"ขณะนี้คนขับรถตู้เข้าพบกับตำรวจสภ.แวงน้อยแล้ว และไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ส่วนในอำนาจการสอบสวนต้องให้ทางพื้นที่ที่มีอำนาจสอบสวนดำเนินการในการสอบปากคำอีกครั้ง คือ สน.บางกอกใหญ่เป็นคนดำเนินการ เบื้องต้นคนขับรถตู้ ได้ให้การปฏิเสธ สำหรับรถตู้จะมีการตรวจสอบหลักฐานตามกระบวนการ เบื้องต้น ต้องให้ได้ข้อเท็จจริงในพยานหลักฐานชัดเจนก่อน และรอเด็กให้การได้จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป"