บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป หรือ SAFE ผู้ให้บริการคลินิกการแพทย์เฉพาะทางเพื่อการมีบุตรแบบครบวงจร เดินหน้าแผนลงทุนหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ชูโมเดลร่วมทุนเปิดคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากกับโรงพยาบาลชั้นนำในต่างประเทศ พร้อมร่วมลงทุนและขยายฐานลูกค้าในธุรกิจที่ต่อยอดจากธุรกิจเดิมในปัจจุบัน ทั้ง IVF และเสริมความงาม ตั้งเป้าปีนี้โต 20-30% ด้วยความพร้อมในการลงทุนด้วยเงินสดในมือกว่า 1,300 ล้านบาท ด้านผู้บริหารย้ำกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมยังถือหุ้นครบ มุ่งร่วมมือขับเคลื่อนการเติบโตสู่ผู้นำด้านรักษาผู้มีบุตรยาก ด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและเวลเนสในภูมิภาคเอเชีย
นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE เปิดเผยว่า ภายหลังนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพและความพร้อมด้านฐานทุนรุกเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการให้บริการคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากเพื่อก้าวขึ้นสู่ผู้นำด้านรักษาผู้มีบุตรยาก ด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและเวลเนสในภูมิภาคเอเชีย โดยมีเงินสดพร้อมสำหรับขยายการลงทุน ณ สิ้น 30 มิ.ย.66 สูงถึง 800 ล้านบาท ประกอบกับเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้กว่า 500 ล้านบาท เพื่อย้ายที่ตั้งสาขารามอินทราไปพื้นที่ใหม่ในโครงการสนามไดร์ฟกอล์ฟ กอล์ฟ ชาแนล เซ็นเตอร์ ถนนรามอินทรา บนพื้นที่กว่า 600 ตร.ม. เพื่อให้บริการแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น เช่น มีห้องปฏิบัติการด้านพันธุศาสตร์สำหรับนักวิทยาศาสตร์ของกลุ่มที่ทันสมัยและกว้างขวาง ซึ่งคาดว่าจะเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตของสาขารามอินทราจาก OPU Cycles ที่เพิ่มขึ้นตามมา
นอกจากนี้ เตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง เฉลี่ยลงทุนสาขาละ 100-120 ล้านบาทต่อแห่ง และอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุน (Joint Venture) กับโรงพยาบาลในต่างประเทศ เพื่อเปิดคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก รวมถึงอยู่ระหว่างเจรจาร่วมลงทุนในธุรกิจที่ต่อยอดจากธุรกิจเดิมในส่วนของธุรกิจเสริมความงามโดยบริษัทคาดว่าจะสร้าง Synergy และเพิ่มการเติบโตได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
โดยแผนงานขยายการลงทุนดังกล่าว เพื่อรองรับตลาดการบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดีในช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ประกอบกับการที่ภาครัฐของประเทศไทยและในหลายๆ ประเทศมีแนวโน้มออกนโยบายส่งเสริมการมีบุตรเพื่อแก้ปัญหาอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลง โดยคาดการณ์ว่าตลาดรักษาผู้มีบุตรยากทั่วโลกโลกในปี 2570 จะมีมูลค่า 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 119,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2575 โดยประเทศไทยคาดว่าตลาดรักษาผู้มีบุตรยากจะมีมูลค่า 60,000 ล้านบาทในปี 2570 เติบโตเฉลี่ย 14.6% ต่อปี จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การตั้งครรภ์ล่าช้าจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่ใช้รักษาเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ดีขึ้น เป็นต้น รวมทั้งรัฐบาลส่งเสริมยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
ทั้งนี้ SAFE มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดสภาพคล่องสูงและไม่มีเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน อีกทั้งเป็นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตทางธุรกิจสูง ด้วยจุดเด่นทั้งรูปแบบทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันที่จะผลักดันให้กลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืน รูปแบบการให้บริการแบบ Integrated Full Service สำหรับคลินิกการแพทย์เฉพาะทางเพื่อการมีบุตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านการเจริญพันธุ์ในระดับสากล รวมทั้งการมีสาขาครอบคลุมจังหวัดหัวเมืองหลักถึง 5 สาขา มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงพยาบาล คลินิกสูตินรีเวช ศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตร ฯลฯ และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในการรักษาผู้มีบุตรยากแก่ชาวต่างชาติ เช่น เวียดนาม อินเดีย สิงคโปร์ จีน เมียนมา ญี่ปุ่น โดยมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงถึง 75%
สำหรับ SAFE มุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมตระกูลกว้างคณานุรักษ์ ยังคงถือหุ้นรวมกัน 60.92% และกลุ่มนอร์ท ฮาเว่น ไทย ไพรเวท อิควิตี้ แซทเทิร์น คอมแพนี (ฮ่องกง) ลิมิเต็ด (NHTPES) ถือหุ้น 12.50% โดยเข้าทำสัญญา Lockup หุ้น 100% ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเวลา 180 วัน ตามเงื่อนไขของสัญญาฯ นับตั้งแต่วันแรกที่หุ้นเข้าเทรด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนว่า หุ้น SAFE มีเสถียรภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่าอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ ตามงบการเงินรวมของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนอีกด้วย
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 จะเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และตั้งเป้าเติบโตทั้งปีประมาณ 20-30% เป็นผลมาจากเทรนด์อุตสาหกรรมของตลาดผู้มีบุตรยากที่กำลังเติบโตอยู่ในปัจจุบัน โดยในงวด 6 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวม 409.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 87.4 ล้านบาท