วันที่ 10 ต.ค.2566 เวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีนักวิชาการออกมาคัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า ตนว่าเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในนโยบายทั้งหมดของรัฐบาล ขณะนี้อย่านึกว่าเศรษฐกิจของเราดี เพราะเมื่อเทียบกับต่างประเทศหลังยุคโควิดเขาฟื้นตัวเกินหน้าเราไปแล้ว ขณะที่ของเราค่อยๆขยับช้าๆ แสดงว่าเศรษฐกิจเราไม่ได้ดีอย่างที่พูดกัน ความสำคัญเรื่องนี้ต้องถามประชาชน มาตรการสำคัญคือทำอย่างไรให้สังคมส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธุ์กับเศรษฐกิจโดยรวม ที่ผ่านมาเราลดค่าใช้จ่ายประชาชนด้านพลังงานไปแล้ว การพักหนี้เกษตกรก็ตามมา อีกด้านหนึ่งเราพยายามสร้างรายได้

เมื่อถามว่า ดิจิทัลวอลเล็ต ประชาชนส่วนใหญ่อยากได้ แต่รัฐบาลจะเปิดเวทีชี้แจงคนที่ไม่เข้าใจนโยบายนี้หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการชี้แจงหลายเวที และเมื่อวันที่ 9 ต.ค. กระทรวงการคลังก็แถลงใหญ่ในเรื่องนี้ เพื่อทำให้เห็นว่าภารกิจของรัฐบาลคือทำให้ประเทศเจริญเติบโตขึ้น ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่จะเปลี่ยนเป้าหมายให้เฉพาะกลุ่มเปราะบางไม่ได้หว่านทั้งหมด นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ตนนี้ประชาชนกว่า 99% เป็นหนี้ไปแล้ว อย่างนี้แสดงว่าทุกคนเปราะบางหรือยัง แน่นอนว่าเวลาจัดการมีหลายกติกามีทางเลือก เพื่อให้อย่างเท่าเทียมกัน

เมื่อถามย้ำว่าจะมีการทบทวนการจ่ายให้คนอายุ 16 ปีทุกคนหรือไม่ เพราะบางคนเป็นลูกคนรวย หรือจะเปลี่ยนวิธีจ่ายเงินมาใช้ทางกระเป๋าตังหรือไม่ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า จะเปลี่ยนทำไม หลักการสำคัญตอนคิดนโยบายเพื่อให้ประโยชน์ทั้งหมด และได้มีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ เราต้องมาดูว่าจะบริหารจัดการกันอย่างไร ทิศทางเราเห็นแล้วแต่รายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อจำกัดทั้งเรื่องกฎหมาย การบริหารการเงินจะต้องทำอย่างไร

"ที่ผ่านมารัฐบาลไทยรักไทย ทำให้ประเทศที่เป็นหนี้สินประเทศเกือบล้มละลาย กลับมาคืนหนี้ได้ก่อนกำหนด 2 ปี ซึ่งเราคำนึงถึงวินัยการเงินการคลังอย่างดีและสร้างรายได้จนประเทศพ้นวิกฤติ ยืนยันเราเป็นห่วงที่สุดเรื่องวินัยการเงินการคลัง"นพ.พรหมินทร์ กล่าว

เมื่อถามว่าจะตอบประชาชนอย่างไรกับการแจกเงินให้ลูกเศรษฐี นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นสิทธิเท่ากัน แต่คนเลือกไม่ใช่ไม่เป็นไร

เมื่อถามว่านักวิชาการออกมาเห็นห่วงจะซ้ำรอยนโยบายจำนำข้าว นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลที่ผ่านๆมาเรากู้เงินประมาณ 1.5 ล้านล้าน ใช้ 5 แสนล้าน ตนคิดว่าเราใช้อย่างระมัดระวังและรู้ว่าเม็ดเงินที่ลงไปจะทำให้เกิดความเจริญเติบโต