รมว.อุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.ชุมพร เยี่ยมชมการดำเนินงาน บริษัท สมบูรณ์ศิลาทอง จำกัด หนึ่งในต้นแบบสถานประกอบการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ชูนโยบาย 4 มิติ สร้างความสมดุลการประกอบกิจการในพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมกระจายรายได้สู่ชุมชนโดยรอบ
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “แร่” เป็นทรัพยากรสำคัญ ของประเทศซึ่งภาครัฐให้ความสำคัญในการบริหารจัดการและควบคุมอุตสาหกรรมเหมืองแร่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากที่สุด ทั้งนี้พบว่ายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนสำหรับภาคประชาชน เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ถือครองที่ดิน โดยเหมารวมไปถึงทรัพยากรแร่ ซึ่งจริงๆ แล้ว แร่เป็นทรัพยากรของแผ่นดิน นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทั้งในเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เข้าใจความรู้สึกของประชาชน โดยได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านการกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมือง หรือ “เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง” เพื่อให้ การทำเหมืองเป็นไปอย่างถูกกฎหมายตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ซึ่งการอนุญาตประทานบัตรเพื่อการทำเหมืองแร่ จะทำได้เฉพาะในพื้นที่ตามที่แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ได้กําหนดไว้ โดยไม่อยู่ในพื้นที่ต้องห้าม อาทิ พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตโบราณสถาน ทั้งนี้แม้ว่าแร่ที่ขุดพบมีมูลค่าสูง แต่หากแหล่งแร่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม ก็จะไม่สามารถอนุญาตประทานบัตรให้ทำเหมืองได้ โดยก่อนการอนุญาตประทานบัตร จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนในพื้นที่ การทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หากไม่มีการต่อต้านคัดค้านจึงจะอนุญาตให้ทำเหมืองได้ ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะต้องจัดตั้งกองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ รวมทั้งชำระค่าภาคหลวงแร่ ซึ่งร้อยละ 60 จะถูกจัดสรรกลับคืนไปยังท้องถิ่น
ทั้งนี้ กระบวนการบริหารจัดการแร่จะคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดภายใต้ดุลยภาพด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน
สำหรับ บริษัท สมบูรณ์ศิลาทอง จำกัด นับเป็นผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง และโรงโม่ บดและย่อยหิน ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ สามารถประกอบกิจการโดยไม่มีข้อร้องเรียนจากภาคประชาชน โดยทางบริษัทฯ ได้ดำเนินกิจการโดยใช้แนวทางตามนโยบาย 4 มิติ
ของกระทรวงอุตสาหกรรม สร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจอย่างสมดุลและยั่งยืน จนประสบความสำเร็จ ทั้งการออกแบบการพัฒนาในกระบวนการผลิตและเครื่องจักร ทำให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 30% รวมทั้งการบริหารจัดการวัสดุที่เป็นปลายโปรดักส์ หรือวัสดุเหลือใช้ (end products or waste materials) มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งได้รับรางวัลอุตสาหกรรม สีเขียวระดับ 3 (Green System) รางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining Award 2017 -2021) และสถานประกอบการที่มีการดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่องปี 2563
ขณะที่ความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัทฯ มีแผนการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม ทั้งการจัดเจ้าหน้าที่เพื่อประสานงานรับข้อคิดเห็นจากชุมชน การให้ความช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาด้านสาธารณูปโภคให้กับชุมชนในการใช้ไฟฟ้าฟรี และน้ำสำหรับการอุปโภค บริโภคในช่วงฤดูแล้ง การจัดทำโครงการเสริมสร้างอาชีพใหม่ให้กับชุมชน ผ่านกองทุนรอบโรงงานที่มีอยู่ และจัดเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการบริหารการใช้เครื่องจักรที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบต่อส่วนรวม
ปัจจุบัน บริษัท สมบูรณ์ศิลาทอง จำกัด มีกำลังการผลิตหินปูนอยู่ที่ประมาณ 5 แสนตันต่อปี และมีปริมาณสำรองแร่ที่สามารถทำเหมืองได้ประมาณ 6 ล้านตัน สามารถจ้างงานแรงงานในพื้นที่ได้มากกว่า 90% และยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในพื้นที่เข้ามาขนส่งแร่และจำหน่าย เป็นการสร้างอาชีพต่อเนื่องในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างขอประทานบัตรเพิ่มเติมอีก 300 ไร่ ที่เป็นแหล่งหินปูนคุณภาพดี เหมาะสำหรับการใช้เป็นวัตถุดิบผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ รวมถึงผลิตภัณฑ์ หินเกล็ด หินฝุ่น หินคลุก เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงมีความต้องการใช้สำหรับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจภาคใต้ตอนบน
ทั้งนี้ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา และสงขลา มีสถานประกอบการที่ได้รับประทานบัตร โรงแต่งแร่ โม่ บด ย่อยหิน จำนวน 160 ราย ส่วนใหญ่เป็นการทำเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ยิปซัม แอนไฮไดรต์ โดโลไมต์ เฟลด์สปาร์ เป็นต้น มีมูลค่าการส่งออกในปี 2565 จำนวน 3,565.28 ล้านบาท นับว่าเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจฝั่งอ่าวไทยได้เป็นจำนวนมาก