วันที่ 20 ก.ย.ที่ บก.สส.ภ.2 พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 เปิดเผยว่า ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ผบ.ตร. , พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล  รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 ,  พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ชุดจับกุมนำโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจสากล (INTERPOL) , เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 , เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ภ.จว.ชลบุรี , เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา , เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.ชลบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ   ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกันจับกุมนายสุนทร หรือโต้ง ปิ่นนาค อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาค้าคดีชิงทรัพย์ร้านทอง ในข้อหา “ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิด เพื่อพาทรัพย์ นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม” 

พล.ต.ต.ธีระชัย กล่าวถึง2พฤติการณ์ว่าการจับกุม เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2565 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา รับแจ้งเหตุ  คนร้ายใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ร้านทองออโรล่าสาขาโลตัสพัทยา จากการสอบถามพนักงานในร้านให้การว่า คนร้ายเป็น ชายไทยเดินเข้ามาภายในร้านและขอดูสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาทและเดินไปมาประมาณ 3–4 รอบ ต่อมาได้ควัก อาวุธปืนออกมาข่มขู่พนักงาน แล้วเดินมารวบถาดทองไปจำนวน 2 ถาด รวมหนัก 34 บาท มูลค่า 1,074,060  บาท แล้วถือวิ่งออกไป ผู้ต้องหามีการวางแผนในการก่อเหตุมาอย่างดี โดยมีการตระเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำ ผิด โดยเฉพาะอาวุธปืนบีบีกัน ที่นำมาใช้ข่มขู่ให้พนักงานประจำร้านทองหวาดกลัว โดยผู้ต้องหาได้วางแผนเส้นทาง หลบหนีมาก่อน เนื่องจากเป็นบุคคลในพื้นที่ จึงใช้เส้นทางหลบเลี่ยงตามซอกซอย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้อง ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งเส้นทางก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุกว่า 150 ตัว ตลอดเส้นทางกว่า 210 กิโลเมตร  โดยใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดกว่า 2 สัปดาห์ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบจุดที่คนร้ายนำเสื้อผ้า เเละอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุไปทิ้ง จึงได้ใช้วิธีการสืบสวนภาคพื้นดิน โดยการพิสูจน์ทราบแหล่งที่มาของสิ่งของที่ ใช้ก่อเหตุในทุกมิติของการสืบสวนพิสูจน์ทราบ ร้านค้าที่ขายอาวุธปืนบีบีกัน จำนวน 12 ร้าน,พิสูจน์ทราบบุคคลที่ครอบครองอาวุธปืนบีบีกัน จำนวน 35 คน ,พิสูจน์ทราบ ร้านค้าที่ขายเสื้อผ้าที่คนร้ายใช้ จำนวน 15 เเห่ง , พิสูจน์ทราบ บุคคลที่ลายนิ้วมือเเฝง ใกล้เคียงกับคนร้าย จำนวน 20 คน 

จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้คือ นายสุนทร  หรือโต้ง ปิ่นนาค อายุ 33 ปี จึงขออนุมัติศาลจังหวัดพัทยา ออกหมายจับนายสุนทรฯ ในข้อหา ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดเพื่อพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจาก การจับกุม” โดยนายสุนทร ถูกขึ้นบัญชีเป็นบุคคลตามปฏิทินหมายจับสำนักงานตำรวจแห่งชาติลำดับที่ 50 ที่มี รางวัลนำจับ 80,000 บาท 

ต่อมาได้สืบทราบว่านายสุนทร ตั้งใจหลบหนี ไปยังประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 2565 และสิ้นสุด การอนุญาตให้อยู่ในประเทศเกาหลีใต้ถึงวันที่ 8 มี.ค. 2566 โดยลักลอบไปประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมบ้านที่เมือง โพซอน มีพฤติการณ์ที่จะไม่ยอมกลับมารับโทษที่ประเทศไทยอีก จึงได้ขออนุมัติต่อองค์การตำรวจอาชญากรรม ระหว่างประเทศหรือตำรวจสากล(INTERPOL) เพื่อออกหมายเเดง (Red Notice) ที่ A-270/1-2023 ลงวันที่ 10  ม.ค. 2566 ในทันทีโดยทางตำรวจภูธรภาค 2 ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ ประจำการอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลี และตำรวจสากลของประเทศเกาหลีใต้ กันมาโดยตลอด  เพื่อร่วมกันสืบสวนจับกุมคนร้าย จนนำไปสู่การพบที่อยู่ปัจจุบันของนายสุนทรฯ โดยนายสุนทรฯได้ไปลักลอบรับจ้าง ทำสวนและทำโรงปลูกผักปลอดสารพิษ ที่ตำบล โซวอน อำเภอ แทอัน จังหวัด ชุงชองใต้ (อยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศเกาหลีใต้)  

ต่อมา เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2566 ตำรวจเกาหลีใต้จึงได้ไปตรวจสอบและพบตัวนายสุนทรฯในที่สุด เมื่อผู้ต้องหาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้จึงทราบโดยทันทีว่าได้ถูกติดตามตัว โดยได้สารภาพว่าตนเองได้พยายาม หลบหนีเนื่องจากกระทำความผิดมาจากประเทศไทย และแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าขอเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อไปเข้า สู่กระบวนการทางกฎหมายที่ประเทศไทยด้วยความสมัครใจ เจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้จึงได้จับกุมผู้ต้องหาไว้ด้วย 

ความผิดตามกฎหมายคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้ และได้ดำเนินการผลักดันกลับประเทศไทยตามความผิดดังกล่าว  เมื่อทราบดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยประจำเกาหลีใต้จึงได้ประสานงานตามความต้องการของผู้ต้องหาไปยัง ตำรวจภูธรภาค 2 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้ทราบและเห็นว่าผู้ต้องหาสำนึกผิดและตั้งใจที่จะกลับเข้ามาเข้า สู่กระบวนการทางกฎหมายที่ประเทศไทย  

และในวันที่ 18 ก.ย. 2566 ตำรวจภูธรภาค 2 โดยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จึงอำนวยความสะดวก และส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จำนวน 2 นาย เดินทางมารับตัว ผู้ต้องหาด้วยตนเองที่ประเทศเกาหลีใต้ในทันที โดยได้เดินทางนำตัวผู้ต้องหากลับมาถึงประเทศไทยในวันดังกล่าว  

ทั้งนี้ยังสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับของผู้ต้องหา เนื่องจากผู้ต้องหาไม่มีรายได้และกำลังทรัพย์ในการ เดินทางกลับประเทศ และด้วยความร่วมมือของสถานทูตไทยในกรุงโซล สำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลีใต้ จึงทำให้การเดินทางกลับของผู้ต้องหาเป็นไปได้ความรวดเร็ว โดยใช้เวลาประสานงานและดำเนินการเพียง ประมาณ 1 อาทิตย์ 

อนึ่งในการจับกุมตัว นายสุนทร ปิ่นนาค ผู้ต้องหาคดีชิงทรัพย์ร้านทองออโรล่าสาขาพัทยาใต้ ในครั้งนี้ ถือ เป็นการจับกุมผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ ซึ่งคดีอุกฉกรรจ์คือคดีที่มีความผิดและอัตราโทษร้ายแรง เช่น คดีฆ่าผู้อื่นโดย เจตนา, ปล้นทรัพย์, ชิงทรัพย์, ลักพาเรียกค่าไถ่ และวางเพลิง โดยในปีงบประมาณ 2566 (1 ต.ค. 2565 ถึง 30  ก.ย. 2566) เกิดคดีอุกฉกรรจ์ขึ้นในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 ทั้งหมด 169 คดีสามารถจับกุมได้ทั้งหมด 169 คดี  คิดเป็นผลการจับกุม 100% ตำรวจภูธรภาค 2 ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐเกาหลีและ  องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาคดีสำคัญในครั้งนี้