“สยามรัฐ” ยืนหยัดอยู่บนบรรณพิภพ และสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ด้วยปณิธาน “นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเหปคฺคหารหํ” แปลว่า “พึงชมคนที่ควรชม พึงข่มคนที่ควรข่ม”…*...
ทักษิณ ชินวัตร บนชั้น 14 กับ 17 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 2549 เป็นหลักฐาน ยืนยันวาทกรรมวิพากษ์ คมช. “รัฐประหารไม่สะเด็ดน้ำ” เพราะคืนอำนาจเร็วเกินไป ...*...
ขณะที่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 อยู่นาน 4 ปี คืนสู่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ได้ผู้นำรัฐประหารกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก 4 ปี ก็มีคำถามว่า “สะเด็ดน้ำ” แล้วหรือไม่!? เมื่อพรรค “ก้าวไกล” กลายเป็นแชมป์เลือกตั้ง151 เสียง ...*...
นับแต่นี้ “รัฐประหาร” จะไม่ใช่ “ยาสามัญประจำบ้าน” อีกต่อไป แม้ “ศรพระราม” จะไม่การันตีว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต สำหรับสังคมไทย แต่รัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมา เป็นบทเรียนที่พิสูจน์แล้วว่า มันเกิดอาการ “ดื้อยา”!! ...*...
ส่วน “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตัดสินใจถอดหัวโขนหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินหน้าสู่เส้นทาง “ผู้นำจิตวิญญาณ” เข้าหามวลชนเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ด้วยอ่านทิศทางลมศาลรัฐธรรมนูญอาจออกมาในทางลบ! หลังจากขยายเวลายื่นคำชี้แจงมาแล้ว 2 ครั้ง หมอโควตาแล้ว ก็เป็นดุลพนิจของศาลรัฐธรรมนูญ ...*...
วิบากกรรมของ “พิธา” วันนี้ จะเป็นแรงสั่นสะเทือนสู่แลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประกอบกับปัจจัยของรัฐบาลชุดนี้ ที่รัฐนาวา เศรษฐา ทวีสิน ที่ไม่ทันไรก็มีเรื่องให้ตั้งคำถาม ว่าทำไมต้องเหมาจ่ายค่าเครื่องบิน 30 ล้านไปประชุมยูเอ็น ระหว่างวันที่ 18 - 24 กันยายน2566 ...*...
ซึ่งนายกฯยืนยันว่าราคาถูกกว่า และเป็นไปตามขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง และยังไม่นับนโยบายร้อนๆ อย่างเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่ ท่านนายกฯขอไปตั้งหลัก 2 สัปดาห์จะแจงที่มาของเงิน หวังว่าจะมีแนวทางที่ชัดเจน โปร่งใส ไร้ผลกระทบ ไม่งั้น ไม่ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค “ก้าวไกล” มาแน่ ...*...
ความจริงมีหนึ่งเดียว พีคในพีค หัวเลี้ยวหัวต่อคดียิง “สารวัตรแบงค์” พ.ต.ต.ศิวพร สายบัว โอนคดีจากภาค7 ให้กองปราบปราม อยู่ในมือของ “บิ๊กก้อง” พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. แล้ว …*…
แม้จริงๆในทางปฏิบัติจะมีการโอนคดีมาตั้งแต่วันแรก โดยจะเห็นว่า ตำรวจกองปราบปรามลงทำคดีนี้ ตั้งแต่แรกที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้ตำรวจท้องที่ยุ่งเกี่ยวกับสำนวน ก่อนที่จะโอนมาอย่างเป็นทางการ...*...
ส่วนบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย คงร้อนๆหนาวๆ เมื่อ “หลาดา” ชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ที่ได้รับมอบหมายให้ “ขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพล” เดินหน้าตั้งคณะกรรมการขึ้นมา แล้วมี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย เป็นประธาน “ชาดา”เป็นรองประธาน รวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศก่อนแบ่งโซนสี แดง- เหลือง ...*...
“ชาดา” ยืนยันจะให้ความเป็นธรรม ขณะนี้ได้รวบรวมข้อมูลจัดกลุ่มสีของผู้มีอิทธิพล ไปแล้วประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อนักข่าวไปถามกังวลไหมว่าผู้มีอิทธิพล จะเข้ามาแทรกแซง “ชาดา” ย้อนถามกลับว่า “ใครจะมาใหญ่กว่าผม” พร้อมหัวเราะแล้วระบุว่า “ผมตัวใหญ่”!! ...*...
ที่มา:ศรพระราม (19/9/66)