ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่เกณฑ์ “ร้อนแรง” นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ปัจจัยฉุดคือสถานการณ์เศรษฐกิจจีน และสถานการณ์การเมืองในประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2566 (สำรวจระหว่างวันที่ 21–31 สิงหาคม 2566) พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 141.27 ปรับขึ้น 69.3% จากเดือนก่อนหน้าอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” โดยนักลงทุนมองว่าความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจจีน รองลงมาคือสถานการณ์การเมืองในประเทศในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และ การประกาศจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Financial Transaction Tax: FTT)
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนสิงหาคม 2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
-ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2566) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ปรับขึ้น 69.3% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 141.27
-ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับขึ้นสู่เกณฑ์ “ร้อนแรง” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
-หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM)
-หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
-ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล
-ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์เศรษฐกิจจีน
“ผลสำรวจ ณ เดือนสิงหาคม 2566 รายกลุ่มนักลงทุนพบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์คงตัวอยู่ที่ระดับ 112.50 ในขณะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 75.6% อยู่ที่ระดับ 165.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 47.1% อยู่ที่ระดับ 147.06 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้น 87.5% อยู่ที่ระดับ 125.00
SET Index มีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งแรกของเดือน จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนตัวลงจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอลงและวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์จีน อีกทั้งการที่ Fitch ปรับลด Credit Rating ระยะยาวของสหรัฐฯ จากระดับ AAA เหลือ AA+ อย่างไรก็ตาม SET Indexกลับมาปรับตัวในทิศทางบวกในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนหลังการลงมติเลือกคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งสะท้อนแนวโน้มความมีเสถียรภาพทางการเมือง โดย SET Index ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ปิดที่ 1,565.94 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.6% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 58,579 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 14,755.28 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ของปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมกว่า 132,936 ล้านบาท
โดยปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ มาตรการทางการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆหลังสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 5.25—5.50 และธนาคารกลางยุโรปปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 3.75 ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ใช้เงินสกุลยูโรตั้งแต่ปี 2542 อีกทั้งจับตาภาวะเศรษฐกิจจีนจากผลกระทบของวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนหลังบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ประกาศล้มละลาย ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตามได้แก่ นโยบายต่างๆของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคตลาดทุน ภาคการส่งออกของไทยที่ยังติดลบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงความท้าทายเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบัน สูงถึง 90.6% ของ GDP