เมื่อวันที่ 25 ส.ค.66 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.มีชัย กำเนิดพรม รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.อลงกต คชแก้ว, พ.ต.ท.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์, พ.ต.ท.ธนศักดิ์ สว่างศรี, พ.ต.ท.จักรี กันธิยะ รอง ผกก.1 บก.ป., พ.ต.ท.ศุภกร ตังคะประเสริฐ, พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ, พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์, พ.ต.ท.เอนก บุญตา รอง ผกก.4 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ รอง ผกก.1 บก.ป., พ.ต.ท.พชรเดช บุญฤทธิ์, พ.ต.ท.เอกรณการ นาคนิยม, พ.ต.ท.บุรินทร์ กะปิตถา, พ.ต.ต.สุรศักดิ์ หญีตบึ้ง, พ.ต.ต.เดชวุฒิ อุตรศาสตร์, ว่าที่ พ.ต.ต.อนวัช ตันตินันทกุล, ว่าที่ พ.ต.ต.ธีรพงศ์ ตาบัวตูม สว.กก.1 บก.ป., พ.ต.ท.พิทยา คงเจริญ, พ.ต.ท.กิตติพงศ์ ศิลาพันธุ์, พ.ต.ต.รักพงศ์ รักอยู่, ว่าที่ พ.ต.ต.พัฒน์ คล้ายวัฒนะ สว.กก.4 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. และ กก.4 บก.ป.
ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา จำนวน 14 ราย
1.น.ส.ปุณยวีร์ฯ อายุ 47 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2644/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
2.Mr.Ezeneche (สัญชาติไนจีเรีย) อายุ 45 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2645/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
3.น.ส.วาสนาฯ อายุ 30 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2646/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
4.น.ส.ธัญญรัศม์ฯ อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2647/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อประโยขน์ในการชำระค่าสินค้าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสด โดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน”
5.นายอนุวัฒน์ฯ อายุ 18 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2650/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
6.นายพนิชศักดิ์ฯ อายุ 19 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2651/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
7.นายมนตรีฯ อายุ 23 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2652/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
8.นายเอนกฯ อายุ 41 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2654/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
9.นายณัฐพลฯ อายุ 36 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2656/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
10.นายณัฐินันท์ฯ อายุ 21 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2658/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
11.นายพิษณุฯ อายุ 34 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2663/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
12.น.ส.อุษาฯ อายุ 35 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2657/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
13.นายปุณณวิชฯ อายุ 27 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2659/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
14.นายณพลฯ อายุ 26 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2662/2566 ลงวันที่ 22 ส.ค.2566
เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
พร้อมของกลาง
1.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 21 เครื่อง (ใช้กระทำความผิด 1 เครื่อง)
2.สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 20 เล่ม
3.บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 18 ใบ (ใช้กระทำความผิด 1 ใบ)
4.สมุดกองทุนรวมธนาคาร 1 เล่ม
5.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง
6.คอมพิวเตอร์ PC จำนวน 1 เครื่อง
7.เอกสารโอนเงินไปต่างประเทศ ธ.ค.64 - มี.ค.65 จำนวน 5 ชุด
8.ซิมการ์ดโทรศัพท์ 1 อัน
9.เมมโมรี่กล้อง 3 ตัว
10.กระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ Chanel จำนวน 2 ใบ
สถานที่จับกุม หลังเปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายนี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นทั้งหมด 14 จุด ทั่วประเทศ แบ่งเป็นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 7 จุด, ปทุมธานี 1 จุด, พิษณุโลก 2 จุด, อุทัยธานี 1 จุด, อุตรดิตถ์ 1 จุด, กำแพงเพชร 1 จุด, พิจิตร 1 จุด เมื่อวันที่ 24 ส.ค.66
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากประมาณเดือนธันวาคม 2564 – มกราคม 2565 ผู้เสียหายได้ร้องเรียนมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. ให้ช่วยติดตามจับกุมคนร้าย ที่มีพฤติการณ์หลอกให้หลงรัก โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นหญิงต่างชาติรูปร่างหน้าตาดี แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสาวชาวอเมริกัน ที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศซีเรีย นอกจากนี้ยังสร้างเรื่องราวว่าจะเดินทางมาประเทศไทย เหตุเพราะประทับใจและตกหลุมรักในตัวผู้เสียหายมาก และต้องการจะส่งพัสดุ ภายในเป็นทรัพย์สินมีค่า มาให้กับผู้เสียหาย แต่มีข้อแม้ คือขอให้ผู้เสียหายช่วยชำระค่าภาษีนำของออกจากสนามบินให้ก่อน หลังจะคืนเงินให้ในภายหลัง
เมื่อผู้เสียหายตกหลุมพรางเชื่อใจเนื่องด้วยความรัก ประกอบกับความสงสาร เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปให้ ขณะเดียวกันจะมีคนร้ายอีกคนโทรศัพท์มาหาผู้เสียหาย อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินก่อนจะหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอ้างว่าเหตุผลต่างๆ เช่น เป็นค่าดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ของรัฐในประเทศไทยเนื่องจากเป็นการนำเข้าเงินโดยผิดกฎหมาย, ค่าประกันที่ทำสัญญาไว้กับบริษัท, ค่าทนายความ ค่าประกันทรัพย์สิน จนสุดท้ายผู้เสียหายไม่มีเงินจ่าย ก่อนที่คนร้ายก็จะตัดการติดต่อไป พบผู้เสียหายสูญเงินไปล้านกว่าบาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้สืบสวนเส้นทางการเงิน จนพบว่าเงินที่ถูกโอนเข้าบัญชีคนร้ายได้มีการโอนต่อไปอีกหลายบัญชี ก่อนจะถูกโอนไปยังบัญชีชื่อของ น.ส.ปุณยวีร์ฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) จากนั้นถูกโอนต่อไปยังบัญชีธนาคารในต่างประเทศ
จากการขยายผลพบอีกว่าตั้งแต่ปี 2561 – 2564 มีเงินหมุนเวียนออกไปยังบัญชีในต่างประเทศรวมกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งพยานหลักฐานทำให้ทราบว่า น.ส.ปุณยวีร์ฯ (ผู้ต้องหาที่ 1) มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวต่างชาติสัญชาติไนจีเรีย และยังพบว่ามีเงินโอนมาจากบัญชีของ Mr.Ezeneche (ผู้ต้องหาที่ 2) อีกจำนวนหลายสิบล้านบาท ซึ่งเงินเหล่านั้นได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆในลักษณะเดียวกัน เมื่อพบเส้นทางการเงินว่าเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงมีคำสั่งให้โอนย้ายคดีของผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งนี้ทุกรายมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มนี้ทันที
ล่าสุด (เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 66) เจ้าหน้าที่ตำรวจกก.1 และกก.4 บก.ป. จึงร่วมกันเปิดปฏิบัติการทลายเครือข่ายแก๊งโรแมนซ์กลุ่มนี้ โดยเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 14 จุด สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้รวม 14 ราย
สอบถาม น.ส.วาสนาฯ (ผู้ต้องหาที่ 3) หนึ่งในผู้ต้องหาซึ่งทำหน้าที่ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหาย ให้การรับว่า ขณะนั้นถูกว่าจ้างมาจากแฟนหนุ่มชาวไนจีเรีย ซึ่งเจอกันที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่ปัจจุบันไม่ได้คบหากันแล้ว โดยได้รับส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นจากการหลอกลวงดังกล่าว อ้างสาเหตุที่ต้องทำ เพราะช่วงนั้นตนเองไม่มีงานทำ
ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบประวัติของ Mr.Ezeneche (ผู้ต้องหาที่ 2 ) พบว่าตั้งแต่ปี 2561 เคยถูกดำเนินคดีในความผิดฐานดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข็ดหลาบ ยังคงกลับมาก่อเหตุซ้ำซากหลายครั้ง
ตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) เตือนภัย ฝากเตือนไปถึงพี่น้องประชาชน อย่าเชื่อถือบุคคลที่คุยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งที่ไม่ได้เคยได้พบเจอกันมาก่อน เพราะเสี่ยงจะตกเป็นเหยื่อกลโกงที่สร้างเรื่องแสดงความรักความน่าสงสาร ทั้งยังออกอุบายหลอกให้หลงเชื่อ เพื่อให้โอนเงินให้ ซึ่งเป็นต้นตอให้สูญเสียทั้งความรู้สึกและทรัพย์สินได้ ทั้งนี้หากมีความเสียหายที่เกิดจากการหลอกลวงในรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com และสามารถติดตามรูปแบบการประชาสัมพันธ์กลโกงได้ที่ pctpr.police.go.th และเพจตำรวจสอบสวนกลาง