เพราะรักในดนตรีและเสียงเพลง ทำให้ได้หลายคนพบกับโลกแห่งความสุข โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยดวงตา ใช่แล้ว! เรากำลังพูดถึงคนตาบอดที่ต้องพบเจอกับความท้าทายในการใช้ชีวิตมากกว่าคนทั่วไป และหากต้องการเดินไปให้ถึงความฝันบนถนนสายดนตรี แน่นอนว่าต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนทั่วไปเป็นสิบเท่า แล้วอะไรทำคนตาบอดจำนวนไม่น้อยไล่ล่าคว้าความฝันได้สำเร็จ   

 แม้จะอยู่ในโลกมืดมาตั้งแต่เกิด แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคในการเดินไปบนถนนสายดนตรีของชายหนุ่มผู้รักการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจอย่าง “สุวิทย์ อินทรนุกูลกิจ” หรือ อุ้ย ซึ่งได้พิสูจน์ให้ครอบครัวและคนรอบข้างเห็นว่าการร้องเพลงสามารถยึดเป็นอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยมีงานประจำเล่นเปียโนและร้องเพลงให้ผู้ป่วยฟังอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี อีกทั้งยังเป็นครูสอนร้องเพลงให้กับเด็ก ๆ พร้อมรับงานร้องเพลงตามอีเวนท์ต่าง ๆ ด้วย

  “สุวิทย์” ค้นพบว่าชอบร้องเพลงตอนเรียนจบชั้น ม. 6 จากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ เพราะมีเพื่อนมาชวนไปเรียนร้องเพลง และยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อสามารถคว้าเงินรางวัลมาได้จากการประกวดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ดังนั้น เมื่อจบการศึกษาปริญญาตรีคณะศิลปะภาษาจีน จึงตัดสินใจไปเรียนร้องเพลงอย่างจริงจัง พร้อมรับงานร้องเพลงควบคู่ไปด้วย ซึ่งมีเป้าหมายนอกจากต้องการใช้เป็นอาชีพในการเลี้ยงตัวเองแล้ว ยังอยากเป็นครูสอนให้เด็ก ๆ หรือคนที่อยากร้องเพลงด้วย

 “ผมไม่มีพรสวรรค์ทั้งเรื่องร้องเพลงและเล่นดนตรี แต่เมื่อพบว่าเรามีความสุขทุกครั้งที่ร้องเพลงจึงพยายามเรียนรู้และฝึกฝนมาเรื่อย ๆ ซึ่งครอบครัวไม่สนับสนุน เพราะมองว่าคนตาดียังทำได้ยาก ผมยอมรับว่าเสี่ยง แต่คิดว่าต้องทำได้ กว่าจะพิสูจน์ให้ที่บ้านเห็นว่ายึดเป็นอาชีพมีเงินเดือนได้จริงก็ใช้เวลาพอสมควร โดยสิ่งที่ทำให้มั่นใจคือ ความรักในดนตรีและการร้องเพลง ต้องการมอบความสุขให้คนฟัง ดังนั้น ไม่มีอะไรในหัวเลยที่บอกว่าทำไม่ได้ ทุกวันนี้ภูมิใจที่เราทำได้ และดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการมอบความสุขให้คนในสังคม รวมถึงได้สอนน้อง ๆ ร้องเพลง”

เมื่อถามว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ก้าวข้ามข้อจำกัดและเดินมาถึงจุดนี้ได้คืออะไร “สุวิทย์” ตอบว่า ทัศนคติสำคัญที่สุด เพราะในชีวิตทุกคนต้องเจออุปสรรคอยู่แล้ว ขอเพียงบอกตัวเองว่าทำได้ และมีความพยายามมุ่งมั่นที่จะทำ ซึ่งความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากเราไม่พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด และมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถคว้าโอกาสได้ทันทีเมื่อผ่านเข้ามา เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะมีโอกาสในสิ่งที่ทำหรือไม่ และไม่มีใครตอบได้ว่าเมื่อเดินเข้าไปแล้วจะโอกาสมากน้อยแค่ไหน จึงอยากฝากน้อง ๆ ให้มีความมุ่งมั่น ความพยายาม และความตั้งใจ เชื่อว่าหากมีสามอย่างนี้โอกาสที่จะสำเร็จอยู่ไม่ไกลแน่นอน ที่สำคัญเมื่อประสบความสำเร็จแล้ว อยากให้ส่งต่อโอกาสให้คนอื่นในสังคมด้วย และวันนี้ดีใจมากที่ได้มาร้องเพลง เพื่อนำรายได้ไปช่วยสร้างโอกาสให้กับน้อง ๆ

แม้อาชีพนักร้องจะไม่ใช่เป้าหมายของ “น้องพั้น” หรือ พัทธนันท์ อรุณวิจิตรสกุล เพราะเป็นคนขี้อายไม่กล้าแสดงออก แต่ความชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กและอยากเจอศิลปินในดวงใจ “บี้ เดอะสตาร์” ทำให้ตัดสินใจขอครอบครัวไปเรียนร้องเพลง และเรียนจบปริญญาตรีด้านดนตรี วิชาเอกละครเพลง โดยปัจจุบันทำงานเป็นพนักงานประจำของเอฟ.เอ็น. เอาท์เล็ต รับหน้าที่ร้องเพลงให้กำลังใจกับผู้ป่วยตามโรงพยาบาล   

“พั้นชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก มีพื้นฐานจากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ ซึ่งนอกจากสอนทักษะการใช้ชีวิตแล้ว ยังสอนเรื่องดนตรีและร้องเพลงด้วย ตอนนั้นไม่ได้ฝันจะเป็นนักร้อง เพราะไม่กล้าแสดงออกมักฝึกร้องกับครูแค่สองคน ตอนหลังครูพาไปโชว์บ่อย ๆ สุดท้ายกลายเป็นอาชีพที่ทำให้เรามีความสุขมาก ๆ เรารู้สึกว่าเสียงเพลงเป็นเหมือนเพื่อน ทำให้มีเรามีความสุข ดังนั้น จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากในการก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะการมองไม่เห็น หลายคนอาจมองว่านี่เป็นพรสวรรค์ของคนตาบอด แต่พั้นเชื่อในความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเรียนเยอะมาก และคิดว่าต้องเรียนเพิ่มเติมอีกต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อเราเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมในทุกวัน”

แรงสนับสนุนจากครอบครัวถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ทำให้ “น้องพั้น” มีอาชีพและรายได้มั่นคงในระดับหนึ่ง จากการทำงานประจำและรับงานจ้างพิเศษ แต่ความฝันของเธอไปไกลกว่านั้นคือ ต้องการไปเรียนต่อทางด้านดนตรีในต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาช่วยพัฒนาเด็กตาบอด โดยเฉพาะในโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯที่เธอเป็นศิษย์เก่า เพราะมองว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนร้องเพลงสูงมาก ทำให้เด็กหลายคนไม่มีโอกาสทำตามความฝัน ซึ่งหากน้อง ๆ อยากประสบความสำเร็จ ต้องมีความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ต้องอดทนไม่ยอมแพ้ และกล้าเป็นตัวเอง  

ปิดท้ายที่ศิษย์ปัจจุบัน “น้องพอส” หรือ ณัฐนันท์ ผลพิมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ  ที่มีโอกาสร่วมคอนเสิร์ตเป็นนักร้องประสานเสียง และเป็นมือคีย์บอร์ดวงโรงเรียนที่เล่นในโรงอาหารแทบทุกวัน แถมยังเคยขึ้นคอนเสิร์ตกับ “อี๊ด โปงลางสะออน” อีกด้วย ด้วยความฝันที่อยากตั้งวงดนตรีร่วมกับเพื่อน ๆ เพราะมองว่าคนเล่นดนตรีได้ โดยเฉพาะคีย์บอร์ดนั้นเท่มาก ทำให้การเป็นคนตาบอดไม่ใช่ข้อจำกัด หรือเป็นเรื่องยากเกินความพยายามของหนุ่มน้อยคนนี้ แม้เจ้าตัวจะบอกว่า ตอนนี้ยังไม่ค่อยเก่ง ต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกนาน โดยเมื่อเรียนจบจากโรงเรียนนี้ก็จะมุ่งไปเรียนทางด้านดนตรีต่อไป นอกจากนี้ ยังสนใจอยากเรียนทำอาหาร เพื่อเป็นเพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพในอนาคตอีกด้วย

“ครอบครัวสนับสนุนให้เรียนดนตรี เพราะมองว่าเป็นทางถนัดของผม ตาบอดไม่ได้เป็นอุปสรรค สิ่งที่ทำให้เราชนะการมองไม่เห็นคือความมุ่งมั่น ผมใช้ความพยายามเรียนรู้ฝึกฝนหลายปีกว่าการเล่นดนตรีได้ เริ่มเรียนคีย์บอร์ดตอน 8 หรือ 9 ขวบ ใช้เวลาเกิน 2 ปี ไม่เคยท้อคิดในใจว่าต้องสู้ตลอด ถ้าท้อคงเล่นดนตรีไม่ได้อย่างตอนนี้ ผมรู้ว่าการเล่นดนตรีเป็นอาชีพได้ เห็นรุ่นพี่หลายคนประสบความสำเร็จก็อยากเดินตามรอย มองเป็นต้นแบบในการสร้างอาชีพ มีพี่หลายคนกลับมาสอน เวลาเราไม่รู้ก็ทักไปถามพี่ ๆ อยากฝากถึงเพื่อน ๆ น้อง ๆ ว่าต้องสู้ห้ามท้อ ต้องมุ่งมั่นอดทน ที่สำคัญอยากให้สังคมเปิดพื้นที่ให้คนตาบอดได้ไปโชว์แสดงความสามารถมากขึ้น โดยเฉพาะในคอนเสิร์ตครั้งนี้อยากให้ทุกคนมาให้กำลังใจ

เชิญชวนมาร่วมกันสานฝันที่มองไม่เห็นให้เป็นจริง ..ทุกท่านจะอิ่มเอมใจและรู้สึกได้ว่า “เพียงได้รับโอกาสให้ได้ทำตามความฝันคนตาบอดก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้ใคร..จริงๆ มาร่วมปันความสุขสายใยความผูกพันดั่งสายฝนให้ชุ่มฉ่ำใจอย่างไม่ขาดสายแก่น้องๆ ด้วยกัน  โดยในปีนี้ทางมูลนิธิฯ จึงได้ร่วมมือกับ อาจารย์ดนู ฮันตระกูล  และวงไหมไทยออร์เคสตร้า จัดการแสดงคอนเสิร์ตการกุศล “สายใยดุจสายฝน” ร่วมด้วยคณะนักร้องประสานเสียงศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ และศิลปินรับเชิญ กบ-ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ป็อด-ธนะชัย อุชชิน ปาน-ธนพร แวกประยูร สปาย-ภาสกรณ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร ผิงผิง-สรวีย์ ธนพูนหิรัญ

โดยคอนเสิร์ตจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 ก.ย. นี้ เวลา 14.00 น. ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย รายได้จากการจำหน่ายบัตรสบทบทุนโครงการพัฒนาทักษะทางดนตรีของครูและนักเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ    ผ่านไทยทิคเก็ตเมเจอร์ www.thaiticketmajor.com ทุกช่องทาง