นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค" ระบุข้อความว่า ...ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ “ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง”

“ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ก็คือระบบเดียวกันกับ "การปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก” คำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” เป็นคำในภาษาไทยภายใต้วัฒนธรรมไทย ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างสากลว่า “การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ”

ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) เป็นรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ โดยไม่ทรงมีบทบาททางการเมืองและทรงอยู่ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญ
ถึงแม้ว่าพระมหากษัตริย์อาจมีพระราชอำนาจโดยพระบารมีและรัฐบาลอาจดำเนินการในพระนาม แต่พระมหากษัตริย์จะไม่ทรงกำหนดนโยบายสาธารณะหรือเลือกผู้นำทางการเมือง

ลักษณะของการปกรองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือที่เรียกในระดับสากลว่า ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย...
• เป็นรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ 
• โดยพระมหากษัตริย์ไม่ทรงมีบทบาททางการเมืองและทรงอยู่ในขอบเขตหรืออยู่ใต้ของรัฐธรรมนูญ

ซึ่งพระมหากษัตริย์ของไทยก็เหมือนกันกับพระมหากษัตริย์ทั่วโลก ที่ทรงอยู่ใต้ของรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง

• พระมหากษัตริย์อาจมี”พระราชอำนาจโดยพระบารมี” กล่าวคือรัฐบาลอาจดำเนินการในพระนาม แต่พระมหากษัตริย์จะไม่ทรงกำหนดนโยบายสาธารณะหรือเลือกผู้นำทางการเมือง 
กล่าวคือ การลงพระนามรับรองกฎหมายที่ออกโดยรัฐบาล รัฐสภา และคณะปฏิวัติรัฐประหาร ที่เรียกว่า พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด เป็นต้น
รวมทั้งการลงพระนามรับรองรัฐบาล รัฐสภา และคณะรัฐประหาร
กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเลือกผู้แทนราษฏรและรัฐสภา, ไม่ทรงเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล, ไม่ทรงเลือกหรือสั่งให้มีการรัฐประหาร
แต่ทรงเป็นเพียงผู้ลงพระนาม ซึ่งเป็นไปตามจารีตปฏิบัติแห่งการปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ตามแบบสากลโลกในลักษณะของการใช้ ”พระราชอำนาจโดยพระบารมี” เท่านั้น

ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและหลักสากลที่ปฏิวัติกันทั่วโลกว่าด้วยเรื่อง”พระราชอำนาจโดยพระบารมี” ที่รัฐบาล หรือคณรัฐประหาร ดำเนินการในนามของพระมหากษัตริย์ โดยที่พระมหากษัตริย์มิได้เป็นผู้ออกคำสั่งให้ปฏิบัติแต่อย่างใด

• พระมหากษัตริย์ทรงเป็น "องค์อธิปัตย์ที่ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง" 
• เป็นศูนย์รวมใจของชนในชาติ
• อาจมีพระราชอำนาจอย่างเป็นทางการ เช่น ยุบสภานิติบัญญัติ หรืออนุมัติกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นพระราชอำนาจทางพิธีการ มิใช่เป็นช่องให้พระมหากษัตริย์จัดการการเมืองได้โดยพลการ 

• พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชสิทธิ์ที่ทำตามพระทัย เพียง 3 ประการเท่านั้นคือ 
1) แสวงหาคำปรึกษา 
2) ประทานคำปรึกษา 
3) ประทานคำตักเตือน
ซึ่งคำว่าแสวงหาคำปรึกษา ในประเทศไทยก็คือ การที่ทรงตั้ง “คณะองคมนตรี” ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์
ส่วนอีก 2 ข้อคือ ประทานคำปรึกษาและตักเตือนนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประทานมาตลอดรัชกาลตามที่เราคนไทยคุ้นเคย และยังคงดำเนินการต่อเนื่องมาถึงรัชกาลปัจจุบัน

ซึ่งแปลว่า ในหลวงมีอำนาจจริงเพียง 3 นี้เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายและตามหลักสากลทุกประการ

“The king can do no wrong”
พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ หรือ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถกระทำความผิดได้”
สาเหตุที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถกระทำความผิดได้ เพราะพระมหากษัตริย์ไม่มีพระราชอำนาจอยู่จริง ไม่มีพระราชอำนาจที่จะกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เช่น การออกกฎหมายหรือแต่งตั้งรัฐบาล ข้าราชการ ฯ ล้วนต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
หรืออธิบายด้วยภาษาชาวบ้านได้ว่า ความจริงผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คือผู้ที่มีอำนาจตัวจริง เช่น กฎหมายที่พระราชบัญญัติที่ผ่านสภา ประธานรัฐสภาก็เป็นรับสนองพระบรมราชโองการ กฎหมายที่พระราชกำหนดที่ผ่านคณะรัฐมนตรี ก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นรับสนองพระบรมราชโองการ
ซึ่งโองการที่ว่า มิได้ออกมาจากพระราชประสงค์ส่วนพระองค์ แต่มาจากสมาชิกรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย แต่ด้วยความที่ประเทศมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข เราจึงถวายพระเกียรติว่าเป็นพระราชโองการ และมีข้าราชการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

“The King Can Do No Wrong” นี่เองที่เป็นที่มาของกฎหมายมาตรา 6  
ด้วยเหตุผลว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ จึงมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองกษัตริย์ ห้ามมิให้บุคคลฟ้องพระมหากษัตริย์ได้
นอกจากนี้ยังเป็นกฎหมายที่มีไว้เพื่อกำกับควบคุมพระราชอำนาจอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดจะล้ม กฎหมายมาตรา 6  เพราะหวังจะหาเรื่องฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ อาจไม่รู้ว่า กำลังจะยกเลิกกฎหมายกำกับควบคุมพระราชอำนาจอีกด้วย

หลักการ The King Can Do No Wrong  มิใช่ของใหม่ที่เพิ่งปรากฏในยุคปัจจุบัน แต่มีมาตั้งแต่สามวันหลังจากอภิวัฒน์สยามแล้ว และคณะราษฎร์ผู้ตรากฎหมายนี้ก็มิได้คิดขึ้นมาเอง แต่เลียนแบบมาจากประเทศอังกฤษ ต้นแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย แบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
อาจารย์ปรีดีได้เคยอธิบายหลักการ “The king can do no wrong” เอาไว้ในหนังสือ คำอธิบายกฎหมายปกครอง ตั้งแต่สมัยที่อาจารย์ยังเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนกฎหมายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง


***โดยอาจารย์ปรีดีได้อธิบายไว้ว่า “‘The king can do no wrong’ นี้ใช้กับระบอบที่พระเจ้าแผ่นดินไม่มีอำนาจในการบริหารแผ่นดินนอกจากอำนาจในทางพิธีการและลงพระนามและยอมให้อ้างพระนามในกิจการต่าง ๆ แต่ไม่ได้ใช้อำนาจด้วยพระองค์เอง แต่ตกอยู่ที่คณะเสนาบดี
ดังเช่นระบบการปกครองของประเทศอังกฤษที่มีสุภาษิต “The king can do no wrong” ว่าเพราะเหตุที่กษัตริย์ทรงทำอะไรไม่ได้นี่เอง กษัตริย์จึงไม่อาจทำผิด”
จึงเป็นเหตุผลให้เกิดการออกกฎหมายมาตรา 6 ที่บัญญัติไว้ว่า “กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้”

การปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นการปกครองที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ ในสมัยราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ โดยมีรอเบิร์ต วอลโพล เป็นนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันมีประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ทั่วโลก ตัวอย่างประเทศที่เรารู้จักชื่อเสียงดี เช่น
สหราชอาณาจักร(อังกฤษ)


เบลเยี่ยม
เดนมาร์ก
เนเธอร์แลนด์
นอร์เวย์
สวีเดน
สเปน
ญี่ปุ่น
มาเลเซีย
กัมพูชา
ภูฏาน
คูเวต
จอร์แดน

รวมทั้งประเทศประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษหรือที่เรียกว่าประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ล้วนใช้การปกครองที่เรียกว่า "ระบบเวสมินสเตอร์" (Westminster system) โดยรัฐสภาสหราชอาณาจักรมอบอิสรภาพในการปกครองตนเองให้แก่ประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา เสรีรัฐไอร์แลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ นิวฟันด์แลนด์ และ ประเทศแอฟริกาใต้โดยมีพระมหากษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขของประเทศดังกล่าวทั้งหมด และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อังกฤษ ก็เป็นไปตามลักษณะของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เพราะฉะนั้นเลิกเข้าใจผิดกันเสียที เลิกถูกหลอกให้เป็นเครื่องมือทางการเมืองกันเสียที เป็นนักเรียน นิสิตนักศึกษา เป็นคนรุ่นใหม่ ที่คุยโตโอ้อวดว่า เกิดมาในยุคแห่งเทคโนโลยีอันทันสมัย ที่สามารถสืบหาความรู้และข้อมูลต่างๆได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่กลับไม่มีความรู้พื้นฐานอะไรเลย แถมไม่เคยสืบหาว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นมีข้อเท็จจริงอย่างไร

สรุป
• พระมหากษัตริย์ของไทย อยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แล้ว 
• ทรงใช้”พระราชอำนาจโดยพระบารมี” ที่รัฐบาล หรือคณะปฏิวัติรัฐประหาร ดำเนินการในนามของพระมหากษัตริย์ โดยที่พระมหากษัตริย์มิได้เป็นผู้ออกคำสั่งให้ปฏิบัติแต่อย่างใด
• การลงพระนามของในหลวง เพื่อรับรองรัฐบาล หรือคณะปฏิวัติรัฐประหาร เป็น”พระราชอำนาจโดยพระบารมี” ไม่ใช่เพราะพระองค์อยู่เบื้องหลัง หรือสั่งให้ทำ
• ทรงเป็นศูนย์รวมใจของชนในชาติ
เป็น "องค์อธิปัตย์ที่ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง" 
• ทรงมีพระราชสิทธิ์ที่ทำตามพระทัย เพียง 3 ประการเท่านั้นคือ 
1) แสวงหาคำปรึกษา โดยการตั้งองคมนตรี
2) ประทานคำปรึกษา 
3) ประทานคำตักเตือน

เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า ข้อเรียกร้องของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชน ให้แก้รัฐธรรมนูญในหมวดของพระพระมหากษัตริย์ นอกจากจะเป็นการจาบจ้วงแล้ว ยังขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายถึงการทำผิดกฎหมายอีกด้วย
รวมทั้งผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าราชการ นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่สนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญในหมวดของพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นการสนับสนุนให้จาบจ้วง และสนับสนุนให้กระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายถึงการทำผิดกฎหมายเช่นกัน

อัษฎางค์ ยมนาค