การเมืองไทย อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ !

เมื่อเอ็มโอยู ที่ “8พรรคการเมือง” เคยผ่านพิธีลงนามร่วมกัน ประกาศตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก “312เสียง” กำลังส่อเค้าลางว่าอีกไม่ช้าไม่นาน เอ็มโอยูฉบับนี้คงถูก “ฉีก” ในอีกไม่นาน จากนั้นเอ็มโอยู “ฉบับใหม่” ที่ไฉไลและจะทำให้ “พรรคเพื่อไทย” มีโอกาสเข้าใกล้ “อำนาจรัฐ”  เดินทางไปถึง ทำเนียบรัฐบาล จะถูกร่างขึ้นมาใหม่ !

และดูเหมือนว่า “สัญญาณ” ที่จะตอกย้ำทำให้เห็นว่าการก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ “พรรคแกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล แทนที่ “พรรคก้าวไกล”  ย่อมไม่ใช่แค่เพียงการได้เก้าอี้ “นายกฯคนที่30” เอาไว้ในมือเท่านั้น หากแต่เก้าอี้นายกฯรอบนี้ จะต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะผลักดันให้ “ฝัน” ของคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ คนที่23 ได้กลับแผ่นดินเกิดเสียที

26 กรกฎาคม 66 ที่ผ่านมา บรรยากาศการเมืองไทย คึกคักขึ้นมาทันที เมื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯของพรรค ประกาศข้อความผ่านโซเชียลว่า พ่อของเธอจะเดินทางกลับประเทศไทยแน่นอน และจะกลับมาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง ในวันที่ 10 สิงหาคม นี้

“ 26 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของลูกเสมอ แต่ปีนี้ลูกยังไม่อยากเชื่อตัวเอง ในสิ่งที่ลูกกำลังจะพิมพ์ พ่อจะกลับมาแล้ว วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่สนามบินดอนเมือง

17 วันเกิดที่ต่างประเทศของพ่อ ลูกพลาดไปแค่ 2 ครั้ง ถ้ารวมครั้งปีนี้คือครั้งที่ 3 เพราะต้องเตรียมหลายอย่างที่เมืองไทย ใจของลูกและทุกคนในครอบครัวเราหนักอึ้ง ทั้งดีใจ ทั้งเป็นห่วง แต่ก็เคารพการตัดสินใจของพ่อเสมอ ลูกขอให้บุญรักษานะคะ ให้พ่อของลูกแข็งแรงปลอดภัย ได้มาส่งหลานๆ ไปโรงเรียนบ่อยๆ เหมือนที่พ่อตั้งใจไว้ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใจดีกับพ่อของลูก เหมือนที่พ่อใจดีกับทุกคนเสมอ รักพ่อที่สุดในโลก”

สำหรับพี่น้องที่อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อเป็นคนไทยคนหนึ่ง เป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกพูดถึงว่ามีผลงานมากที่สุด และประสบชะตากรรม ถูกกระทำแสนสาหัส การตัดสินใจกลับบ้านครั้งนี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อพูดอย่างจริงจังต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2565 แม้จะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และในฐานะคนไทยคนหนึ่ง แต่คำนึงถึงอย่างที่สุด ต่อความสบายใจ และกังวล ห่วงใยของทุกคน”

17 ปีที่ทักษิณ หนีคดีในไทยแล้วไปพำนักอยู่ในต่างประเทศ แต่กลับเป็นห้วงเวลาที่เขาเองสามารถ “ยืนระยะ” ยึดเอาเวทีการเมืองไทยไว้ในมือ ตลอดมา แม้บางช่วง บางตอน พรรคการเมืองในมืออดีตนายกฯทักษิณ จะแพ้พ่าย ถูกยุบพรรค และอยู่ในสถานะ “ฝ่ายค้าน” มายาวนาน แต่สำหรับครั้งนี้ แม้พรรคเพื่อไทย จะไม่ชนะเลือกตั้งชนิดแลนด์สไลด์ กลายเป็น “พรรคอันดับสอง” ด้วยมี 141 เสียง เป็นรองจาก “พรรคก้าวไกล” ที่ได้ 151 เสียง แต่เมื่อทิศทางลมการเมืองได้ผกผันและเปลี่ยนทิศ

วันนี้พรรคอันดับสอง อย่างพรรคเพื่อไทย กำลัง “เปิดเกมใหม่” ด้วยการออกจาก “ถุง” ที่เคยอ้างว่า “ถูกคลุม” ให้ต้องมาชน มาอยู่กับ “พรรคก้าวไกล” ออก แล้วเดินหน้า “แสวงหา” พันธมิตรทางการใหม่ แม้จะต้อง “ข้ามขั้ว” ก็ตาม หากทางเดิน เส้นทางใหม่สามารถการันตีได้ว่า พรรคเพื่อไทยจะต้องชนะทุกประตู และทักษิณ จะได้กลับบ้านเกิดด้วยความมั่นใจว่าจะไม่ถูกหักหลังและมีความปลอดภัยมากพอ

อย่างไรก็ดี เมื่อทักษิณ ส่งสัญญาณว่าจะกลับประเทศไทย โดยมีกำหนดวันว. เวลา น.ที่ 10 ส.ค.นี้ พรรคเพื่อไทยกลายเป็น “หุ้นการเมือง” ที่ดีดตัว ขึ้นรับ “ข่าวดี” สมาชิกพรรคเพื่อไทย ต่างยินดี  สบายใจกันถ้วนหน้า  แต่เหนืออื่นใดความเคลื่อนไหวที่ฝั่งพรรคเพื่อไทย  ที่ขานรับการกลับไทยของทักษิณ กำลังตอกย้ำว่านี่คือ “ดีลลับ” ที่เคยถูกพูดถึงกันมาโดยตลอด ใช่หรือไม่ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ “พรรคการเมือง” ในกลุ่มขั้วอำนาจของฝั่ง “3ป.”  อันเป็นรัฐบาลรักษาการในเวลานี้ !

หากย้อนกลับไปที่ความเคลื่อนไหว ของพรรคเพื่อไทยที่ส่ง “เทียบเชิญ” ไปยัง “5พรรคการเมือง” มาพูดคุยกันที่ทำการพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 22-23 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคภูมิใจไทย ซี่งล้วนแล้วแต่เป็นเหมือน “คู่ปรับ” ของพรรคก้าวไกล

โดยมีหลักใหญ่ใจความอยู่ที่แกนนำทั้ง5พรรค ประกาศชัดเจนว่าพร้อมสนับสนุนพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาล แต่มี “เงื่อนไข” ว่าในรัฐบาลชุดนี้จะต้องไม่มีพรรคก้าวไกล เพราะเป็นพรรคที่ชูธงเรื่องการแก้ไข “มาตรา112”  เป็นนโยบายพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ “รับกันไม่ได้”  โดยเฉพาะ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ บอกเลยว่า “ให้มีอำนาจมากไปกว่านี้ไม่ได้” 

และในท่ามกลางการเปิดพรรคเพื่อไทย พูดคุยกับ “ขั้วอำนาจเดิม” ยังจบลงด้วยภาพบรรยากาศอันชื่นมื่นกันที่การชนแก้ว “มิ้นต์ช็อก” เครื่องดื่มเมนูสุดฮอตของพรรคเพื่อไทย  แม้จะไม่ต้องบอกกันให้ชัดว่าการพูดคุยนัดนี้ จะจบลงที่การ “ผูกเสี่ยว” แตะมือกันในฐานะ “ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล” แต่ทุกฝ่ายก็เข้าใจได้ว่านี่คือปฏิบัติการ “บีบ”  ให้พรรคก้าวไกล ต้องทบทวนและยอม “โยนผ้า” ประกาศถอนตัวจาก “ขบวนรัฐบาลเสียงข้างมาก” ออกไปเอง

วันนี้ภายใต้ปฏิบัติการจัดตั้งรัฐบาลโดยการนำของพรรคเพื่อไทย กำลังถูกจับตาว่าที่สุดแล้ว การ “ฉีกเอ็มโอยู” กับพรรคก้าวไกล จะมาถึงเมื่อใด เพราะทั้งในปีกว่าที่พรรคฝ่ายค้านที่เกาะกันแน่น ทั้ง 188 เสียง ประกาศชัดไม่โหวตให้รัฐบาลเสียงข้างมากถ้ายังมีพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับที่ “วุฒิสมาชิก” ยื่นคำขาดว่าไม่ต้องส่งใครมาคุย เพราะสว.จะไม่ยกมือให้แน่นอน ถ้ามีพรรคก้าวไกล ร่วมด้วย

ขณะที่พรรคก้าวไกล งัดไม้เด็ดใช้กลยุทธ์ “หน้าด้านเพื่อชาติ” ประกาศไม่ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วม จะเกาะกับพรรคเพื่อไทยไปอย่างนี้ และเสนอให้อดทนรอกันไปอีก 10 เดือนจนกว่าสว.ชุดนี้จะหมดวาระลงในเดือน พ.ค.2567 พรรคก้าวไกล อาจรอได้ เพื่อหวังว่า นายกฯคนที่30 จะยังเป็น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว คงรอต่อไปไม่ได้ เมื่อ “เงื่อนไขหลัก” อยู่ที่ทักษิณ ต้องการกลับประเทศไทยและต้องมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ทั้งเก้าอี้นายกฯคนที่ 30 และเป็นรัฐบาลแม้งานนี้อาจจะต้องเปลี่ยนสูตรตั้งรัฐบาลใหม่ด้วยการข้ามขั้วไปจับกับ “พรรค2ลุง”  ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้

แต่ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้น ปัญหาของพรรคเพื่อไทย ที่จะผลักดัน “เศรษฐา ทวีสิน” หรือ “แพทองธาร” ชิงนายกฯต้องมั่นใจว่าจะได้รับเสียงโหวตเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา คือ 375 เสียง โดยที่จะเสนอได้เพียงครั้งเดียว เหมือนกับในกรณีของพิธา ด้วยเหตุนี้ทักษิณ เองจึงต้องระมัดระวังและรอบคอบมากที่สุด จะทำอย่างไรจึงจะ “กินรวบ” ได้ทั้งหมด !

ทั้งการให้พรรคเพื่อไทย ได้เป็นรัฐบาล และเก้าอี้นายกฯต้องเป็นคนที่ตัวเอง “ไว้วางใจ” แม้จะมีรายงานว่า ในการจับมือ “ข้ามขั้ว” ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ คือการดึง “71เสียง” ของพรรคภูมิใจไทย ที่มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นหัวหน้าพรรค และ “40เสียง”  จากพรรคพลังประชารัฐ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรค โดยที่พรรคเพื่อไทย อาจจะยอมให้ ชื่อใดชื่อหนึ่ง ระหว่างอนุทิน หรือบิ๊กป้อม เข้าชิงเก้าอี้นายกฯ ในรอบที่ 3 หากชื่อเศรษฐา ไม่ผ่านขึ้นมาจริงๆ

ทว่าข้อเสนอเช่นนี้ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” กลับไม่สามารถ ให้ไฟเขียวได้ เพราะไม่อาจเชื่อใจใคร แต่อย่าลืมว่า การตัดสินใจของทักษิณ ในวันนี้ ที่ประกาศกลับไทยอย่างชัดเจน ย่อมแตกต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆมา เพราะไม่ว่าจะออกทางไหน พรรคเพื่อไทย ก็จะยังคงเป็น “พรรคแกนนำรัฐบาล”  เป็นแกนหลัก และชื่อนายกฯคนที่30 ในใจของทักษิณ ไม่ว่าจะเป็น คนของเพื่อไทย อนุทิน หรือบิ๊กป้อม  ก็ล้วนแล้วแต่ผ่านการพูดคุยกันจนจบสิ้นกระบวนความหมดแล้ว

ยิ่งหากถอดรหัสจากคำพูดของแพทองธารที่ให้สัมภาษณ์ยืนยันการเดินทางกลับไทยว่าพ่อคงประเมินแล้วว่าสถานการณ์การเมือง “นิ่งแล้ว” ส่วนเรื่องความปลอดภัยและกระบวนการต่างๆ ทักษิณก็เป็นคนจัดการและประสานไว้ทั้งหมด

หมายความว่า ถ้าหากไม่มั่นใจจริงๆ ทักษิณ ก็คงไม่ตัดสินใจนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาแลนดิ้ง ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง 10 สิงหา นี้ !