วันที่ 15 ก.ค.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว  ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า...การเมืองเรื่องของผัวเมีย

เพื่อไทย และก้าวไกล เปรียบเสมือนคู่ผัวตัวเมีย 

มาอยู่กินกันด้วยการ “คลุมถุงชน” จากพ่อแม่พี่น้องประชาชน

เมื่อเมียเรียกร้องในสิ่งที่ผัวให้ไม่ได้ แม้ปากยังพร่ำบอกว่า “จะรักกันตลอดไป” 

แตผัวเห็นแล้วว่า หากอยู่กินกันอนาคตไปไม่รอดแน่ เพราะสาวเจ้าเอาแต่ใจ ยืนกรานไม่โอนอ่อนผ่อนตาม 

มีจุดยืนที่แข็งกร้าว ไม่เปลี่ยนแปลง

ด้วยประสบการณ์คู่ครองของผัวที่เคยมีครอบครัว และหย่าร้างมาก่อน ตกพุ่มหม้ายอยู่นานหลายปี

เลยแอบไปมีกิ๊กอีหนู เจรจาฉอเลาะเข้าทำนอง “วัวเคยค้าม้าเคยขี่”

นัดหมายหาความสุข วางแผนจะไปอยู่กินกันออกหน้าออกตา แม้ว่าตอนนี้ยังติด “ทะเบียนสมรส” อยู่กับเมีย

แต่ใจชาย 3 โบสถ์ จะเอาแน่อะไรได้ วันๆ คิดแต่จะตีจาก 

เห็นอีหนูดีกว่าเมียที่เอาแต่ใจ ยึดติดแต่ ม.112 ให้ปวดหัว

ก็รู้อยู่ว่า “มรดกที่ท่านปู่ทิ้งไว้” คือ ส.ว. 250 ที่ไม่ยอมยกให้หากเมียคนนี้ยังอยู่ในบ้าน

ทำตัวเป็น “คนแก่งี่เง่า” 

ครั้นผัวจะตัดขาดก็พูดไม่ออก เพราะจัดงานสมรส MOU พูดออกปากชัดว่า “จะรักเธอตลอดไป” ท่ามกลางแขกเหรื่อมากันมากมาย ต่อหน้าพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย 

นึกในใจทำไมถึงต้องมีวันนี้ อึดอัด อยากจะไปก็ไปไม่ได้ ครั้นจะอยู่ก็อยู่ยาก

อย่างเดียวที่ทำได้ คือ อยู่อย่างไร้ความรู้สึก เธอทำอะไรก็เรื่องของเธอ ชั้นก็อยู่ส่วนชั้นไป 

รอจนวันที่เธอทนไม่ไหวเก็บเสื้อผ้าออกไปเอง จะได้ไม่มีใครมาติฉินนินทาว่าชั้นไม่ดี เอาใจออกห่างไปมีชู้ 

โถ.. เรื่องผัวๆ เมียๆ เมื่อใจผัวไม่อยู่แล้ว เมียเองก็รู้อยู่ว่าไม่รอด

จะมาบีบบังคับใจกันไปถึงไหน?

สงสารผัวบ้างเถอะ ถูกเมียทหารเพ่นกระบาลมา 9 ปีแล้ว 

นึกว่างานนี้จะได้สบาย ที่ไหนได้เจอเมียสาวใจเด็ดไม่เปลี่ยนใจ อยู่กินกันไปหม้อข้าวไม่ทันดำ ขอยอมถูกเฉดหัวออกจากบ้านดีกว่า

นึกแล้วสงสารเมียสาวที่ไม่เปิดใจ แต่เพราะยังสาวอยู่ ผ่านงานนี้ไปคงได้ประสบการณ์เรื่องอยู่กิน ว่าหากอยู่ด้วยกันก็ต้องยอมๆ กันไป 

ไม่งั้นอยู่คนเดียวไปเลยดีกว่า ไม่ต้องไปง้อใคร

ตอนนี้ผัวตัวดีพาลจะไปได้ “เมียปุ้มปุ้ย” เข้าไปอีก ต้องมาตัดแบ่งเค้กก้อนใหม่ให้ขายหน้า 

แต่อดอยากปากแห้งอยู่คนเดียวมานาน

ทนเหงาไม่ไหวแล้วพี่น้องเอ้ย