เกษตรกร เครือข่ายจากภาคใต้ ชี้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ร้อน- แล้งมาก กระทบกรีดยาง ยันเจอมานานหลายปีแล้ว ทำโมเดลแก้ปัญหา ปลูกพืชร่วมยาง ลดอุณหภูมิเพิ่มความชื้นในดิน ขณะที่เกษตรกรภาคเหนือ ยันพีช พืชเมืองหนาว เคยผลผลิตล้นตลาด ปีนี้มีแต่ใบ ไม่ออกดอกออกผล  ด้านนักวิชาการแนะ เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตร  มุ่งสู่เกษตรนิเวศ

สภาพภูมิอากาศโลก ที่แปรปรวน  จนยากจะคาดการณ์ได้ในปัจจุบัน  เกิดจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลก ที่มาจากความไม่รู้ และไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า ภาวะโลกร้อนของมนุษย์ และการที่สภาพอากาศแปรปรวนเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการผลิต โดยเฉพาะกับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย           

เมื่อเร็ว    ๆ นี้ ที่บ้านสวนซุมแซง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก และองค์กรภาคี จัดงานมหกรรมพันธุกรรมปี 2566  หัวข้อ เกษตรนิเวศ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ  โดยมีเกษตรกร 4 ภาค ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ 

เริ่มต้น ดร.จตุพร เทียรมา อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชี้ให้เห็นถึงการจัดการทรัพยากรทางการเกษตรกับการรับมือโลกร้อนว่า ที่ผ่านมาการทำการเกษตรของไทย คือการเข้าไปใช้พื้นที่ทางธรรมชาติ จนเสื่อมโทรมไม่เหลือร่องรอยให้ธรรมชาติได้ทำงาน ยิ่งมาเจอเงื่อนไขทางธรรมชาติ เจอเรื่องของโลกร้อน โลกรวน จึงกระทบต่อการทำการเกษตร ฉะนั้น เกษตรกรต้องมองหาทางเลือกที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตร ที่จะสามารถรับมือหรือต้านทานต่อสภาพแวดล้อมบนโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้

 ดร.จตุพร กล่าวว่า  การรับมือภาวะโลกร้อน เกษตรกรต้องหันมาใส่ใจเรื่องของความชื้นในดิน การทำให้ความชื้นดินมากหรือน้อย จึงเป็นเรื่องของชลประทาน  การขุดบ่อ ขุดสระ เพื่อกักเก็บน้ำ รวมถึงต้องมีสิ่งมีชีวิตในดิน มีศัตรูพืช ศัตรูธรรมชาติ  ขณะที่การปลูกพืชที่หลากหลายในฟาร์ม หรือพื้นที่ทางการเกษตร เพื่อให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ ตั้งแต่ผิวดินยันยอดสูงสิบเมตรยี่สิบเมตรปะปนกันไปนั้น ก็ทำให้เกิดความชื้นในดินได้  รวมถึงการทำให้อุณหภูมิพื้นที่ทางการเกษตรนั้นๆ ต่ำกว่า พื้นที่ที่ไม่มีพืชปกคลุม เป็นการรักษาอุณหภูมิพื้นที่ทางการเกษตรไม่ให้สูงเกินไปด้วย 

“เกษตรนิเวศ คือการประยุกต์หลักการทางนิเวศมาใช้ในระบบเกษตรกรรม โดยหลักการทางนิเวศ คือ หมุนเวียนของสสาร และการถ่ายทอดพลังงาน สร้างระบบที่เราสร้างขึ้นมาชนกับระบบที่มันรวน 


ทำระบบชลประทานในแปลงของตัวเอง เช่น การขุดสระ มีไว้เพื่อควบคุมความชื้นในดิน การเตรียมน้ำเพื่อให้กับพืช ส่วนอุณหภูมิ เป็นปัจจัยทางการเกษตรที่สำคัญ พืชจำนวนมากมีนาฬิกาชีวิตเป็นอุณหภูมิ ส่งผลต่อการออกดอกออกผล” ดร.จตุพร ระบุ และว่า ภาคเกษตรสามารถทำให้ดินมีความชื้น อย่าให้อุณหภูมิในพื้นที่เกษตรสูงขึ้น  ด้วยการปลูกพืชหลักพืชรองพืชร่วม ให้มีทรัพยากรพืชพรรณที่หลากหลายเช่น ที่ภาคใต้ การปลูกพืชร่วมยางในส่วนป่า สวนยาง   ทำให้ความชื้นในดินสม่ำเสมอ อุณหภูมิไม่สูงเกินไป ส่งผลต่อปริมาณน้ำยาง   


ขณะที่ สุภา ใยเมือง มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในอดีตการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ซึ่งมนุษย์สามารถปรับตัวได้ แต่ในช่วงหลัง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญหลายชนิด ฉะนั้น ถึงเวลาที่เราต้องดูแลภาคเกษตรกรรมของไทย ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ  

“ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับภาคเกษตรกรรมของไทย  จากการติดตามกรณีของพื้นที่ภาคใต้ ภาวะโลกร้อนทำให้เกิดปัญหาน้ำยางไม่ออก เกษตรกรสวนยางไม่มีผลผลิต ไม่มีรายได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม  ขณะที่เกษตรกรในหลายพื้นที่ก็มีการปรับตัวปลูกพืชผสมผสานร่วมกับการทำสวนยาง ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้อุณหภูมิไม่ร้อนมากนัก พืชชนิดอื่นๆ ที่ปลูกผสมผสานก็สามารถทำเป็นพืชเศรษฐกิจ” 


ด้าน นายจุฑาธิป ชูสง ตัวแทนเครือข่ายจากภาคใต้ กล่าวถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป การที่อากาศร้อนมาก แล้งมากได้ส่งผลกระทบต่อการกรีดยางของพี่น้องพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งวิกฤติที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน เราประสบพบเจอมานานหลายปีแล้ว หลายคนเล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกิดเป็นโมเดลการแก้ปัญหาที่ขยายตัวไปในจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ 

“ปัจจุบันมีการร่วมมือกันแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ รวมกันเป็นวิสาหกิจชุมชน เกิดเครือข่ายป่าร่วมยางในจังหวัดพัทลุง โมเดลตรงนี้ก็สามารถพัฒนาต่อไปได้”

ตัวแทนเครือข่ายจากภาคใต้ ชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของเกษตรกรเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้ นอกจากจะเป็นการร่วมมือของคนในชุมชนแล้ว สสส.สนับสนุนเกษตรกรเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านอาหาร ส่งเสริมการทำเกษตรทำสวนที่หลากหลาย เพื่อคืนระบบนิเวศน์ที่ดี เกษตรกรมีการทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง นำเศษอาหารไปหมักไว้ที่สวนยาง ผลผลิตที่ได้เราสามารถนำไปเป็นอาหารและเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ต่อได้ ตรงนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากกว่าน้ำยางที่กรีดได้ พอเราทำแบบนี้ ได้ช่วยเศรษฐกิจและคืนระบบนิเวศให้ด้วย เกิดการแบ่งปันซึ่งกันและกันในชุมชน  

ส่วน นายชัยรัตน์ แสงสรทวีศักดิ์ ตัวแทนเครือข่ายจากภาคเหนือ กล่าวถึงปัญหาที่เจอจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเกี่ยวกับพันธุ์พืชเมืองหนาวที่จำเป็นจะต้องใช้ความหนาวในการออกดอกออกผล ยกตัวอย่าง ลูกพีช ในอดีตมีการผลิตลูกพีช ผลผลิตล้นท้องตลาด แต่ในปัจจุบันมีเพียงแค่ใบที่แสดงออกมาให้เห็น มีการคาดการณ์ในอนาคตว่า พืชเมืองหนาวจะไม่สามารถปลูกได้ และพืชเขตร้อนที่เคยปลูกได้ก็ไม่สามารถปลูกได้เช่นกัน ถือเป็นรอยต่อทางการเกษตรที่ส่งผลกระทบกับชาวบ้าน

“ การปรับตัวของเกษตรกรมีการทำงานร่วมกับโครงการหลวงว่า มีพืชเมืองหนาวชนิดใดบ้างที่สามารถนำเข้ามาได้  เช่น ผลไม้เมืองหนาว สตอร์เบอรี่ต้องการอุณหภูมิหนาวเย็นในการติดดอกออกผล แต่ก็ถือเป็นพืชที่ปรับตัวได้ แต่พืชบางชนิดไม่สามารถให้ผลผลิตได้ในสภาพอากาศที่แปรปรวนแบบนี้  เกษตรกรจำเป็นต้องปรับตัวปลูกพืชที่หลากหลายและสลับ เปลี่ยนวิธีการปลูก เลือกพันธุ์พืช  ที่จะอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ”