เสร็จสิ้นการเลือก "ประธานสภาผู้แทนราษฎร" และรองประธานฯไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไป จะเป็นการโหวตเลือก "นายกรัฐมนตรี" โดย "พรรคก้าวไกล" ที่ชนะเลือกตั้งและมีเสียงข้างมาก จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีสิทธิเสนอชื่อ "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคฯ เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

 

- สำหรับขั้นตอนการเลือก "นายกรัฐมนตรี" คนที่ 30 มีดังนี้ 

1.เริ่มจากที่ "สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" หรือ ส.ส. เสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ จากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตของพรรคที่มี จำนวน ส.ส. ตั้งแต่ 25 คนขึ้นไป 

2.สำหรับการเสนอชื่อแคนดิเดตของพรรค ต้องมี ส.ส. รับรอง ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ โดยสามารถเสนอชื่อให้เลือกได้มากกว่า 1 คน

3.ในการเลือกนายกฯให้กระทำเป็นการเปิดเผย โดยเลขาธิการสภาฯ จะเรียกชื่อสมาชิก ส.ส. และสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ตามลำดับอักษรเป็นรายบุคคล และให้ออกเสียงโดยการกล่าวชื่อบุคคลที่เห็นชอบ 

4.ในที่ประชุมซึ่งมี ส.ส. 500 เสียง และส.ว. 250 เสียง รวมกันเป็น 750 เสียง ผู้ที่ได้คะแนน 376 เสียงขึ้นไป จะได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ

5.ถ้าปรากฎว่า หากลงคะแนนแล้วไม่มีใครได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่ง ก็จะวนโหวตต่อไปจนกว่าจะมีผู้ได้คะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ 

 

อย่างไรก็ตาม หากนับจากจำนวน ส.ส.แต่ละพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.66 ที่ผ่านมา เกิน 25 คนขึ้นไป สามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรคการเมืองได้ มีทั้งหมด 8 คน จาก 5 พรรคการเมือง มีดังนี้

 

1.พรรคก้าวไกล 1 คน

2.พรรคเพื่อไทย 3 คน

3.พรรคภูมิใจไทย 1 คน

4.พรรคพลังประชารัฐ 1 คน 

5.พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน 

 

ทั้งนี้ "รัฐธรรมนูญ 2560" ฉบับปัจจุบันก็ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการเลือกนายกฯไว้อย่างชัดเจน แต่ใน "รัฐธรรมนูญ 2550" กำหนดเวลาไว้ 30 วัน หากพ้น 30 วัน ยังไม่มีใครได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งให้ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นนายกฯ 

 

#นายกคนที่30 #นายกรัฐมนตรีคนที่30 #โหวตเลือกนายก #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #ก้าวไกล #เพื่อไทย