จากกรณีเมื่อเวลา 00.17 น. วันที่ 29 มิ.ย.66 เกิดแผ่นดินไหว โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่บริเวณ ต.ไผ่ล้อม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ขนาดความรุนแรง 4.5 ความลึก 5 กิโลเมตร ได้รับแจ้งรู้สึกสั่นไหวบริเวณ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิจิตร จังหวัดกำแพงเพชร โดยแผ่นดินไหวครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกประมาณ 30 กิโลเมตรและห่างจากตัวเมืองพิจิตรประมาณ 15 กิโลเมตรนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางที่ไม่ได้อยู่บนรอยเลื่อนมีพลัง Active Fault ที่สำรวจโดยกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอาจเป็นรอยเลื่อนที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ Hidden Fault ซึ่งกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหวกรมอุตุนิยมวิทยา ได้หากลไกการเกิดแผ่นดินไหวพบว่าแผ่นดินไหวเกิดจากแนวรอยเลื่อนที่มีทิศทางการวางตัวในแนวตะวันออกเฉียงใต้-ตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งวางตัวตามแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว โดยหลังเกิดเหตุ ทางกรมฯตั้งแต่ได้รับการแจ้งเตือนสัญญาณ และทำการ ส่งข้อมูลไปยังปชช. ใช้ระยะเวลา 17 นาที เป็นไปได้ ค่อนข้างรวดเร็ว และก็ได้กรมทรัพยากรธรณี ประชุมร่วมกัน เพื่อติดตามผลกระทบโดยได้ส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต กรมทางหลวง เป็นต้น พร้อมเตือนประชาชนให้ยังคงเฝ้าระวัง เพราะอาจมีโอกาสจะเกิดขึ้นอีก ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ ขณะที่ ตั้งแต่เกิดเหตุมีประชาชนในพื้นที่ 144 ราย แจ้งว่าได้รับผลกระทบจากการสั่นสะเทือน ข้าวของในบ้านตกหล่นลงมา

อธิบดีกรมอุตุฯ กล่าวต่อว่า ภัยแผ่นดินไหวยังคงเป็นภัยธรรมชาติที่ยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ การป้องกันและบรรเทาภัยแผ่นดินไหวที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีและความรู้ในปัจจุบัน จำเป็นต้องการข้อมูลความสันสะเทือนของพื้นดินที่ถูกต้องจากระบบตรวจวัดที่มีมาตรฐาน โดยกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ทำหน้าที่ในการตรวจแล้ววิเคราะห์แผ่นดินไหวทั้งภายในและต่างประเทศ โดยมีเครือข่ายสถานีตรวจแผ่นดินไหวแบบอัตโนมัติ สถานีตรวจวัดอัตราเร่งของพื้นดิน สถานีวัดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และสถานีวัดระดับน้ำทะเล ติดตั้งอยู่ทั่วไทย

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาจะติดตามและรายงานสถานการณ์ต่อไป ขอให้ประชาชนติดตามประกาศอย่างใกล้ชิดได้ทางเว็บไซต์กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา earthquake.tmd.go.th เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ EarthquakeTMD โทรศัพท์หมายเลข 0 2366 9410, 0 2399 0969, 0 2399 4547 และสายด่วน 1182 ตลอด 24 ชั่วโมง