GBS ประเมินหุ้นครึ่งปีหลังภายใต้ 3 สถานการณ์กดดันการเมือง-การจัดตั้งรัฐบาล-นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ-สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ลุ้นดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,400- 1,700 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์การลงทุนหุ้น 4 กลุ่มเด่น ได้แก่ กลุ่ม Domestic Play-ท่องเที่ยว-ธนาคาร-ผลประกอบการเด่น

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง 2566 ภายใต้ 3 สถานการณ์ ดังนี้

1.Best Case มองว่าหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความเชื่อมั่นและหันกลับมาเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และคาดหวังการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนที่เพิ่มขึ้นเท่ากับระดับก่อนเกิด COVID-19 จะช่วยหนุนดัชนีเพิ่มเติม เราประเมินกรอบดัชนีที่ 1,600-1,700 จุด

2.Base Case ฝ่ายวิจัยคาดว่า Base Case มีโอกาสสูงที่สุดประเทศไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้และดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ได้หาเสียงไว้ ทั้งการปรับเพิ่มค่าแรง และสวัสดิการต่างๆ ที่เตรียมให้ประชาชนช่วยหนุนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเมินกรอบดัชนีที่ 1,500-1,600 จุด

3.Worst Case คาดว่าปัจจัยที่จะทำให้เกิด Worst Case มาจากสงครามคู่ใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน โดยจะมาในรูปแบบสงครามตัวแทน ซึ่งเกิดในกลุ่มประเทศ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีเหนือ และจีนจะส่งผลให้นักลงทุนเทขายในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ปัจจัยภายในหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะทำให้เม็ดเงินไหลออกจากประเทศกลับไปยังสหรัฐที่มีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูงเพิ่มขึ้น เราประเมินกรอบดัชนีที่ 1,400-1,500 จุด

ทั้งนี้หากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้วเสร็จ สามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนครบกำหนดเวลางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่จะสิ้นสุดปลายเดือนกันยายนนี้เพื่อให้ทันการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงเดือนตุลาคม 2566 อีกทั้งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยพยุงค่าเงินบาทและอาจช่วยให้ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าได้ นอกจากนี้คาดว่าสถานการณ์การส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง 2566 จะสามารถพลิกกลับเป็นบวกได้ จากตัวเลขภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนต่อ GDP เกือบ 60% ได้ติดลบต่อเนื่อง 7 เดือน (ต.ค.65-เม.ย.66) ติดต่อกัน คาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,700 จุด

อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาปัจจัยลบจากธนาคารกลางของแต่ละประเทศที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางตุรกี ได้มีการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อกดให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทยอยปรับลดลงสู่ระดับเป้าหมาย ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้   สอดคล้องกับที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ซึ่งเป็นองค์กรหลักของธนาคารกลางโลกเรียกร้องให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น โดยการที่ FED สาขาชิคาโกเผยดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (CFNAI) ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในการประเมินความเสี่ยงได้ปรับตัวลงในเดือนพ.ค. เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการลดลงของการผลิตและการจ้างงาน ขณะที่สถาบันเอสแอนด์พี โกลบอล(S&P Global) ปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2566 เหลือ 5.2% จากเดิม 5.5% หลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงหลังโควิด-19 แพร่ระบาด

ส่วนราคาน้ำมันปรับลดลงจากความกังวลอุปสงค์น้ำมันลดลง หลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แต่ในระยะสั้นราคาน้ำมันปรับขึ้นเนื่องจากการมีข้อพิพาทรัสเซีย-กลุ่มวากเนอร์อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องจับตาในประเทศ อาทิ วันที่ 30 มิ.ย.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย, วันที่  3 ก.ค. เป็นต้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกา เรียกประชุมรัฐสภา, กำหนดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เหลืออีก 3 ครั้งในวันที่ 2 ส.ค. 27 ก.ย. และ 29 พ.ย. ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตาวันนี้ 27 มิ.ย. สหรัฐ รายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค. ราคาบ้านเดือนเม.ย.จาก ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.,วันที่ 28 มิ.ย. จีน รายงานกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค., สหรัฐ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 29 มิ.ย. อียูรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.,สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ GDP 1Q66 ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนพ.ค., กำหนดการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เหลืออีก 4 ครั้งในวันที่ 25-26 ก.ค. 19-20 ก.ย. 31 ต.ค. – 1 พ.ย. และ 12 – 13 ธ.ค.

ทั้งนี้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้น 4 กลุ่มเด่น  ได้แก่

1.หุ้น Domestic Play คาดได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ CPALL, HMPRO และ CPAXT

2.หุ้นท่องเที่ยว จากจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวเนื่องจากเป็น High Season ได้แก่ ERW, CENTEL และ AOT

3.หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ได้แก่ BBL, KTB และ TTB

4.หุ้นผลประกอบการเด่น ได้แก่ AUCT, XO, CEYE และ PJW