จากกรณี นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้ติดตามบุกทวงคำตอบจาก ป.ป.ช.ถึงกรณีที่ตนยื่นร้องนายเรืองไกร ปมรับแคชเชียร์เช็ค จำนวน 25 ล้านบาท เมื่อ 3 มีนาคม 2564 และกรณีโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่ามีผู้ใหญ่ใจดีซื้อรถเบนซ์ รุ่น S 560 ให้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 โดยระบุว่านานเกือบ 2 ปีแล้วผลสอบไม่คืบหน้า
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดหลักฐานเช็คเงินสดซื้อรถเบนซ์ จำนวน 4.7 ล้านบาท และเช็คเงินสด 25 ล้านบาท ว่า เอกสารที่ ป.ป.ช.เรียกให้ไปชี้แจงลงวันที่ 21 ธ.ค.65 เป็นเอกสารเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง แต่ไม่ได้เรียกตน ส่วนหลักฐานการซื้อรถเป็นการชำระเป็นแคชเชียร์เช็ค 4.5 ล้านบาท ชำระผ่านบัตรเครดิต 1 แสนบาท และเงินสดอีก 1 แสนบาท ทั้งนี้ ภรรยาได้โอนเงินเข้าบัญชีตนก่อนที่จะถอนเงินมาซื้อแคชเชียร์เช็ค ยืนยันว่าเงินมีที่มาที่ไป
สำหรับในส่วนของแคชเชียร์เช็ค 25 ล้านนั้น เป็นการย้ายบัญชี ตามเอกสารสำเนาแคชเชียร์เช็คที่ปรากฏภาพบนและล่าง จะเห็นว่าตนเบิกเงินในบัญชีธนาคารหนึ่งแล้วย้ายไปอีกธนาคารหนึ่งเพื่อซื้อแคชเชียร์เช็ค “เวลาย้ายเงินไปอีกธนาคาร คุณถือเงินสดหรือ มันไม่ปลอดภัย ผมเลยต้องซื้อแคชเชียร์เช็ค มันเป็นเรื่องปกติของผม อย่างปกติบัญชีย้ายตัดหุ้นไม่พอ ผมก็ย้ายอีกบัญชีไปตัดค่าหุ้น คนมันมองในแง่ร้าย ไม่ฟัง ผมมองว่าอยากมองก็มองไป วันนี้อยากพูดขึ้นมาอีก ผมก็เอาเอกสารเก่ามาให้ดู” นายเรืองไกร กล่าว และว่า โดยในส่วนรถเบนซ์กับเช็ค 25 ล้าน คนละส่วนกัน คนละทีกัน
นายเรืองไกร ระบุอีกว่า กรณีดังกล่าวมีผู้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบตนเองในกรณีเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับเงินเกิน 3,000 บาท เพราะรถเบนซ์ 4.7 ล้านบาท เกินจากกฎหมายกำหนดไปมาก โดยคนที่รับเรื่องก็ไปตั้งเรื่องขอเอกสารจากเอกชน และทำความเห็นว่าตนเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ จึงสงสัยว่าใช้ข้อกฎหมายใดมาตั้งเรื่อง ตนก็ได้เตือนไปว่าขอให้ทำให้สุดๆ เพราะการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นก็ถือเป็นการเลี่ยงบาลี เลี่ยงกฎหมายกลายๆ ตนมองเจตนาออก มีการอ้างคำสั่งตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งเป็นการข้ามขั้นตอน เพราะยังไม่มีมติที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช.รับตรวจสอบ หากจะเรียกภรรยาตนเองมาสอบในกรณีนี้ก็ขอให้ทำหนังสือคำสั่งและอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหากเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไม่ชอบก็คงจะทราบผลที่ตามมาว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่า หากคดีนี้สิ้นสุดจะมีการยื่นฟ้องกรณีแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า คนยื่นก็ต้องรู้ตัวเอง ซึ่งจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถทำผิดกฎหมายได้ กรณีนี้มีทั้งหลักฐานการออกคำสั่ง การเบิกเบี้ยประชุม ใบรายการการประชุม โดยสามารถเรียกหลักฐานทั้งหมดได้ ก็ไปพิสูจน์ว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตน
“ไปร้องแล้วไปอ้างว่าคนนี้เป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ตรวจสอบของ ป.ป.ช.แต่เขาไม่ใช่ แล้วก็คุณพยายามตีความให้มันใช่ ซึ่งทำให้เสียงบประมาณหลวง เสียกำลังคน เบี้ยประชุม ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ขอให้รอดูในสำนวนที่จะยื่นฟ้อง ขอให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวตกใจ”